สำหรับมือใหม่ หรือ
มนุษย์เงินเดือน เมื่อเลือกที่จะเริ่มต้นลงทุนอาจจะเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายนัก เพราะสินทรัพย์ลงทุนบนโลกใบนี้มีหลายหลายประเภท ดังนั้นแล้ว
กองทุนรวม จึงเป็นตัวหนึ่งทำให้ชีวิตการลงทุนง่ายขึ้น
รู้จัก “กองทุนรวม (Mutual Fund)” คือ การระดมเงินลงทุนจากคนจำนวนมาก แล้วให้
“ผู้จัดการกองทุน” ที่เป็นมืออาชีพ และมีความเชี่ยวชาญในการลงทุน นำเงินของเราไปลงทุนในสินทรัพย์ต่าง ๆ ตามนโยบายการลงทุนของแต่ละกองทุน และแบ่ง
ผลตอบแทนกลับมาให้เรา เมื่อสามารถทำกำไรได้ ทำให้การลงทุนนั้นง่ายขึ้นมากในช่วงเริ่มต้น
ก่อนจะลงทุนกองทุนรวมควรรู้อะไรบ้าง
1. สำรวจตนเอง
ก่อนจะลงทุนสิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือ การสำรวจตนเอง คือดูว่ารับความเสี่ยงจากการลงทุนได้มากหรือน้อยเพียงใด โดยการสำรวจความเสี่ยงนั้นสามารถทำได้โดยตอบแบบสอบถามประเมินความเสี่ยงจากธนาคาร บลจ. หรือตัวแทนจำหน่ายที่ท่านเปิดบัญชีซื้อ-ขายกองทุนรวม อย่างไรก็ตามบางท่านอาจรับความเสี่ยงได้ไม่ตรงกับแบบประเมินที่ทำก็เป็นได้ หากยังไม่เคยลงทุนจริง โดยในช่วงตอบแบบสอบถามสามารถรับความเสี่ยงได้สูงแต่เมื่อลงทุนกลับไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ต่ำ เนื่องจากจริตการลงทุนของแต่ลงคนแตกต่างกันไป ดังนั้นสำหรับมือใหม่แล้วการลงทุนในครั้งแรกอาจใช้เงินลงทุนจำนวนไม่มากเพื่อทดสอบความเสี่ยงที่ตนเองรับได้ก่อนเพื่อสร้างความมั่นใจในการลงทุนมากขึ้น และสามารถเลือกลงทุนให้ตรงกับความเสี่ยงที่รับได้ในครั้งถัด ๆ ไป
2. ดูนโยบายการลงทุน
นโยบาย
การลงทุนในกองทุนรวมหลัก ๆ จะแบ่งเป็น 5 ประเภท
- กองทุนรวมตลาดเงิน: ลงทุนในเงินฝากธนาคาร ตราสารหนี้ระยะสั้นทั้งภาครัฐและเอกชน ผลตอบแทนที่คาดว่าจะได้รับจะต่ำที่สุดถ้าเทียบกับกองทุนในประเภทอื่น ๆ
- กองทุนรวมตราสารหนี้: ลงทุนในตราสารหนี้ เช่น พันธบัตรรัฐบาล และหุ้นกู้บริษัทเอกชน มีความผันผวนมากขึ้นและมีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่ดีกว่ากองทุนรวมตลาดเงิน ความเสี่ยงต่ำถึงปานกลาง
- กองทุนรวมตราสารทุน: ลงทุนในตราสารทุน หรือหุ้นที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ทั้งในและนอกประเทศ ความเสี่ยงปานกลางถึงสูง มีโอกาสได้รับผลตอบแทนที่สูงขึ้นแต่ก็มีโอกาสขาดทุนสูงขึ้นเช่นเดียวกับพอร์ตการลงทุน
- กองทุนรวมทางเลือก:
- กองทุนที่ลงทุนกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า: ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ให้เช่า โดยนำเงินค่าเช่ามาจ่ายเป็นเงินปันผลให้กับผู้ลงทุน ความเสี่ยงปานกลาง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนสม่ำเสมอ
- ลงทุนในสินค้าโภคภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น น้ำมัน ทองคำ ความเสี่ยงสูง ผลตอบแทนผันผวนตามราคาโภคภัณฑ์
- กองทุนรวมผสม: ลงทุนในสินทรัพย์ตั้งแต่ ข้อ 1 - ข้อ 4 ผสมกัน สัดส่วนการลงทุนระหว่างสินทรัพย์ต่าง ๆ จะเป็นเท่าใดนั้นขึ้นอยู่กับนโยบายของกองทุน และการบริหารของผู้จัดการกองทุนนั้น ๆ ผลตอบแทนและความเสี่ยงขึ้นอยู่กับสัดส่วนการลงทุนของกองทุน
3. ผลการดำเนินงานในอดีต
ผลตอบแทนย้อนหลังเป็นอีกส่วนหนึ่งที่นักลงทุนทั้งหน้าใหม่หน้าเก่านิยมดูก่อนการตัดสินใจลงทุนในกองทุนนั้น ๆ ผู้ลงทุนสามารถเปรียบเทียบกองทุนกับดัชนีมาตรฐานได้ดังนี้ เช่น
- กองทุนหุ้นไทย เปรียบเทียบกับ ดัชนี SET Index TRI
- กองทุนรวมหุ้นที่ลงทุนในหุ้นทั่วโลก เปรียบเทียบกับ ดัชนี MSCI World Index
ตัวอย่าง กรุงศรีไชน่าเอแชร์อิควิตี้-สะสมมูลค่า (KFACHINA-A)
การเลือกกองทุนจากวิธีนี้ ควรเลือกกองทุนที่ผู้จัดการกองทุนสามารถบริหารได้ชนะดัชนีมาตรฐาน
4. ค่าธรรมเนียม
ค่าธรรมเนียมกองทุนก็เป็นอีกส่วนที่สำคัญมาก ซึ่งอาจเป็นตัวที่ทำให้ผลตอบแทนน้อยลงไปกว่าที่ควรจะเป็นเพราะต้องแบ่งเงินส่วนหนึ่งมาจ่ายค่าธรรมเนียม โดยค่าธรรมเนียมกองทุนนั้นแบ่งเป็น 2 ส่วนใหญ่ ๆ คือ
- ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากผู้ถือหน่วยลงทุุน: เป็นค่าธรรมเนียมที่ถูกเรียกเก็บทันทีเมื่อเกิดธุรกรรม ซื้อ หรือขายกองทุนรวม โดยมีค่าธรรมเนียมที่เราควรรู้จักดังนี้
- ค่าธรรมเนียมขาย: จะถูกเรียกเก็บเมื่อซื้อหน่วยลงทุน
- ค่าธรรมเนียมซื้อ: จะถูกเรียกเก็บเมื่อขายคืนหน่วยลงทุน
- ค่าใช้จ่ายในการซื้อขายหลักทรัพย์: จะถูกเก็บเมื่อทำรายการซื้อและขายหน่วยลงทุน
- ค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนรวม: ค่าธรรมเนียมนี้จะคิดเป็น % ของ NAV ต่อปี โดยจะคิดรวมในหน่วยลงทุน ดังนั้นแล้ว อัตราผลตอบแทนที่เห็นนั้นจะเป็นผลตอบแทนที่รวมค่าธรรมเนียมที่เรียกเก็บจากกองทุนไว้แล้ว ไม่ต้องนำมาคำนวณแยกอีกครั้งหนึ่ง
5. เงื่อนไขการซื้อ-ขาย
กองทุนรวมแต่ละกองมีเงื่อนไขการลงทุนไม่เหมือนกัน จึงต้องศึกษาในรายละเอียด
- เงื่อนไขการซื้อ
- จำนวนเงินซื้อขั้นต่ำในครั้งแรก และครั้งถัดไป
- ระยะเวลาในการรับคำสั่งซื้อ: เช่น 8.30-15.00 น. หรือบางกองทุนอาจไม่สามารถทำรายการซื้อได้ทุกวันทำการ จะมีตารางการขายที่เป็นการเฉพาะเจาะจงวันที่
- วิธีการซื้อ: เช่น ตัดบัตรเครดิต ตัดบัญชี สับเปลี่ยนกองทุน จ่ายเช็ค เป็นต้น
- ช่องทางการซื้อ: เช่น ออนไลน์ สาขาของธนาคาร บลจ. ตัวแทนจำหน่าย
- เงื่อนไขการขาย
- จำนวนเงินขั้นต่ำในการขายคืน
- ระยะเวลาในการรับคำสั่งขายคืนหน่วยลงุน: เช่น 8.30-15.00 น. หรือบางกองทุนอาจไม่สามารถทำรายการขายคืนได้ทุกวันทำการ จะมีตารางการขายที่เป็นการเฉพาะเจาะจงวันที่
- ระยะเวลารับเงินค่าขายคืนกองทุนรวม เช่น การชำระเงินค่าขายคืน T+4 จะได้รับเงินค่าขายคืนหน่วยลงทุนใน 4 วันทำการนับจากวันที่ขายคืน อย่างขายคืนวันจันทร์ จะได้รับเงินค่าขายคือ วันศุกร์ หากไม่ติดวันหยุดใด ๆ
- ช่องทางการซื้อ: เช่น ออนไลน์ สาขาของธนาคาร บลจ. ตัวแทนจำหน่าย
6. ตรวจสอบและติดตามอย่างต่อเนื่อง
ถึงแม้ว่าการลงทุนในกองทุนรวมจะมีผู้จัดการกองทุนที่คอยปรับพอร์ตการลงทุนตามสถานการณ์ให้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ควรละเลยการติดตามการลงทุนอย่างน้อยทุก 6 เดือน หรือ 1 ปี ก็กลับมาทบทวนพอร์ตการลงทุนซักครั้งเพื่อให้มั่นใจว่ากองทุนที่ลงทุนอยู่ยังให้ผลตอบแทนอย่างที่คาดไว้ และหากสถานการณ์ตลาดหรือเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงไปก็สามารถปรับพอร์ตการลงทุนได้ทันเวลา
ก่อนที่เราจะไปลงทุนนั้นเราต้องรู้จักตัวเองให้ดีซะก่อน ตอบคำถามตัวเองว่า วันนี้เราลงทุนเพื่ออะไร เรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน เพราะแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากัน บางคนอาจจะบอกว่า กองทุนกองนี้ดี น่าลงทุน ให้ผลตอบแทนสูง แต่มีความเสี่ยงที่สูงกว่าระดับความเสี่ยงที่เรารับได้ และเกินความเข้าใจของเรา เราก็ไม่ควรจะไปลงทุนโดยไม่ได้พิจารณาหรือศึกษาเพิ่มเติมให้ดีก่อน เพราะดีสำหรับเค้า แต่อาจจะไม่ดีสำหรับเรา และไม่ตอบโจทย์วัตถุประสงค์การลงทุนของเราก็ได้ และที่สำคัญที่สุดในโลกของการลงทุนก็คือ ประโยคที่ว่า การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนตัดสินใจลงทุนทุกครั้ง