ในยุคแห่งความเสมอภาค เหล่าผู้หญิงเก่งได้กลายเป็นผู้บริหารกันมากขึ้น ซึ่งผลการศึกษาของสถาบัน Kauffman Foundation และบริษัท Dow Jones พบว่าบริษัทที่บริหารงานโดยผู้หญิง มีโอกาสสร้างรายได้เฉลี่ยสูงถึง 12% และมีศักยภาพในการฟันฝ่าปัญหาด้านการเงินได้ดีกว่าบริษัทที่ผู้ชายเป็นผู้บริหาร แต่ในโลกของ Startup กลับมีธุรกิจที่ก่อตั้งและบริหารโดยผู้หญิงไม่ถึง 10% สาเหตุอาจมาจากการที่พวกเธอขาดคนต้นแบบที่เป็นแรงบันดาลใจ กังวลกับอุปสรรคในการเข้าถึงเครือข่ายในสายอาชีพและแหล่งเงินทุน รวมถึงภาระของความเป็น “แม่”
แต่สำหรับผู้หญิงบางคน อย่าง Yael Kochman ผู้ประสบความสำเร็จจากการทำธุรกิจสตาร์ทอัพ เธอกลับเชื่อว่า บทบาทความเป็นแม่ในชีวิตประจำวันนั้นสามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้ผู้หญิงยุคใหม่นำมาใช้ในการบริหารและเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม ทั้งยังสร้างโอกาสประสบความสำเร็จจาก 5 ทักษะที่แม่ทุกคนต้องมี หรือแม้คุณยังไม่ได้เป็นแม่ ทักษะดังกล่าวก็สำคัญต่อการบริหารธุรกิจ ช่วยให้ผู้หญิงได้ลุกขึ้นมาทำสิ่งใหม่ ๆ เพื่อความฝัน และดึงศักยภาพของตัวเองออกมาใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
1. การทำงานภายใต้ความกดดัน
ในการทำธุรกิจ คุณต้องผจญกับปัญหาเฉพาะหน้าตลอดเวลา ตั้งแต่ปัญหาเล็ก ๆ ไปจนถึงปัญหาใหญ่ ความโกลาหลที่คุณต้องเผชิญ คงไม่แตกต่างจากคุณแม่ที่ต้องพบปัญหาสารพัดในแต่ละวัน เช่น คุณกำลังรีบออกจากบ้านเพื่อส่งลูกไปโรงเรียน แต่ลูกชายยังไม่ยอมไปจนกว่าเขาจะได้ใส่เสื้อกันหนาวตัวโปรด ทำให้คุณไปทำงานสาย และบังเอิญลูกค้าโทรศัพท์มาเลื่อนนัดเร็วกว่าเดิม ดังนั้น ลองนำทักษะในการจัดการปัญหาภายใต้
ความกดดันมาใช้กับกิจการของคุณดู หากปัญหาต่าง ๆ พุ่งเข้ามาหาคุณพร้อมกัน
2. ทักษะการเจรจาต่อรอง
เมื่อลูกน้อยงอแง ไม่ยอมกินผัก คุณในฐานะแม่คงต้องหาวิธีโน้มน้าวใจเขาอย่างสุดฤทธิ์ ทักษะในการเจรจาต่อรองก็จะถูกดึงมาใช้อย่างเต็มที่ ถ้าคุณทำให้ลูกกินผักที่เขาปฏิเสธหัวชนฝาได้ คุณก็สอบผ่านบททดสอบแรก และพร้อมเอาชนะใจลูกค้าที่มีความต้องการมากมาย แต่ถ้าจะปิดดีลให้ได้ คุณต้องกล้าเจรจาต่อรองกับพวกเขาอย่างชาญฉลาด เหมือนกับแม่ที่จัดการลูกจอมงอแงได้อยู่หมัด
3. ความคิดสร้างสรรค์และการระดมความคิดเพื่อแก้ปัญหา
หนึ่งในงานของแม่ คือการบริหารทรัพยากร (เงินทุน) ให้เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในบ้าน บางครั้งคุณก็ต้องการหาซื้อสินค้าคุณภาพดีสำหรับเด็กที่ราคาถูก แต่การขาดประสบการณ์อาจทำให้คุณไม่ใช่แม่ที่รู้รอบ คุณจึงต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์และไอเดียในการหาทางออก หรืออาจพึ่งพาการระดมความคิดเห็นจากคุณแม่ท่านอื่นที่เคยผ่านประสบการณ์แบบเดียวกันมาก่อน เพื่อหาวิธีแก้ปัญหาและบริหารความต้องการภายใต้ทรัพยากรอันจำกัด ซึ่งการทำธุรกิจ
สตาร์ทอัพในช่วงที่อะไร ๆ ยังไม่เข้าที่เข้าทาง ก็ต้องพึ่งทักษะดังกล่าวเช่นกัน
4. ลดอัตตาเพื่อเป้าหมายที่ดีกว่า
การเป็นผู้ประกอบการที่ดี อาจต้องมีพร้อมทั้งทรัพยากร ไหวพริบ ความฉลาด ความเก่งกาจ และความทุ่มเท แต่หากมีมากจนเกินไป ก็อาจกลายเป็นอัตตา (Ego) ที่ทำให้คุณมีทิฐิและกลายเป็นคนไม่น่ารัก เช่นเดียวกันกับความเป็นแม่ แม้คุณจะเป็นคนเก่งที่บริหารครอบครัวได้ แต่เมื่อเกิดปัญหาถกเถียงกัน คุณก็ไม่จำเป็นต้องถูกเสมอไป อาจเลือกยอมแพ้บ้าง ลดอีโก้ลงบ้าง หากมันช่วยให้คุณบรรลุ
เป้าหมายในระยะยาว ซึ่งน่าจะส่งผลดีต่อคุณและครอบครัวมากกว่าผลเสีย และอาจได้รับมุมมองใหม่ ๆ เป็นการตอบแทน
5. ความอดทนสูง
ต่อให้คุณไม่ได้เป็นแม่ ความอดทนก็ยังเป็นทักษะสำคัญที่ควรมี แต่ถ้าคุณต้องเป็น
แม่ด้วย ความอดทนของคุณต้องสูงกว่าคนทั่วไป เพราะปัญหาที่คุณต้องเจอ อาจไม่ใช่แค่ปัญหาส่วนตัว แต่ยังมีปัญหาของลูก ของครอบครัว ของสามี และอีกสารพัดปัญหา เพื่อความอยู่รอดของครอบครัวแล้วมนุษย์แม่จะไม่ยอมแพ้ แต่จะใช้ความอดทนและแก้ไขช่วงเวลาอันเลวร้ายให้ผ่านพ้นไปได้ ดังนั้น ใช้พลังความอดทนของคุณให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ เชื่อเถอะว่า ความท้าทายจะทำให้คุณแกร่งขึ้น
ในอนาคตมนุษย์เงินเดือนอาจลดลง เพราะคนรุ่นใหม่หันมาสร้างธุรกิจของตัวเอง และสนใจการ
ลงทุนกับธุรกิจ Startup กันเยอะขึ้น ไม่ว่าชายหรือหญิง ยิ่งถ้าหากคุณฝันอยากมีธุรกิจ เรามีข้อคิดดี ๆ มากมายพร้อมผู้ช่วยในการเริ่มต้นกิจการ อย่างเช่น
สินเชื่อ SME กรุงศรีสำหรับธุรกิจขนาดเล็กและขนาดกลาง เพียงแค่เริ่มต้นไว คุณก็มีชัยไปกว่าครึ่งแล้ว