19 สิงหาคม 2567
นายแซม ตันสกุล (ซ้าย) กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด พร้อมด้วยนายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ (ขวา) ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อีฟราสตรัคเจอร์ จำกัด เปิดกองทุน “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน
กรุงเทพฯ (19 สิงหาคม 2567) – กรุงศรี ฟินโนเวต ร่วมกับ อีฟราสตรัคเจอร์ (Efra Structure) ของ ป้อม ภาวุธ ผู้บุกเบิกและคร่ำหวอดในวงการอีคอมเมิร์ซไทย
เตรียมปั้นกองทุนยักษ์ “ฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์” (Finno Efra Private Equity Trust) มุ่งลงทุนในสตาร์ทอัพไทยและอาเซียน งบประมาณมหาศาลกว่า 1,300 ล้านบาท (หรือกว่า 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) ภายในระยะเวลา 4 ปี เผยเริ่มพูดคุยกับสตาร์ทอัพที่น่าสนใจแล้วราว 5-6 บริษัท พ่วงด้วยการเปิด Accelerator Program อย่างเป็นทางการ เพื่อปั้นสตาร์ทอัพระดับ Seed ถึง Pre-series A ให้เติบโตสู่ระดับ Series A ได้อย่างแข็งแกร่ง
นายแซม ตันสกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด ในเครือกรุงศรี กล่าวว่า “กรุงศรี ฟินโนเวต และอีฟราสตรัคเจอร์ ต่างอยู่ในสตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มส์มานานและทำงานใกล้ชิดกับสตาร์ทอัพจำนวนมาก กองทุนฟินโน อีฟรา ไพรเวท อิควิตตี้ ทรัสต์ (Finno Efra Private Equity Trust) หรือเรียกสั้น ๆ ว่า Finno Efra เกิดขึ้นจากมุมมองและเป้าหมายเดียวกันของทั้งสองบริษัทคือ เราต้องการสร้างสตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มส์ของไทยให้แข็งแกร่งขึ้น และเมื่อมองย้อนกลับมาดูภาพรวมของสตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มส์ในประเทศไทยจะเห็นว่า Corporate Venture Capital หรือ CVC เป็นกลุ่มหลักที่ให้การสนับสนุนและเข้ามาลงทุนในอีโคซิสเต็มส์นี้ โดยบรรยากาศการลงทุนจะเน้นไปที่กลุ่ม Series A ขึ้นไปเป็นส่วนมาก สวนทางกับเทรนด์การลงทุนสตาร์ทอัพในต่างประเทศ รวมถึงประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะมุ่งให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพตั้งแต่ระดับ Early Stage ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้สตาร์ทอัพอีโคซิสเต็มส์เติบโตและแข็งแกร่งขึ้น มีสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ เกิดขึ้น”
กองทุน Finno Efra Private Equity Trust ที่จะเกิดขึ้นภายใต้ความร่วมมือกันของ บริษัท กรุงศรี ฟินโนเวต จำกัด และ บริษัท อีฟราสตรัคเจอร์ จำกัด เป็นกองทุนขนาดประมาณ 1,300 ล้านบาท (หรือประมาณ 35 ล้านเหรียญสหรัฐ) มุ่งลงทุนสตาร์ทอัพที่อยู่ในช่วง Seed ถึง Pre-series A เป็นหลัก เน้นลงทุนในกลุ่ม Impact & Digital Transformation โดยสัดส่วนการลงทุนส่วนใหญ่จะโฟกัสที่สตาร์ทอัพสัญชาติไทย คิดเป็นสัดส่วนราว 60% และที่เหลือจะเลือกลงทุนในสตาร์ทอัพประเทศต่างๆ ในอาเซียน ซึ่งเทคสตาร์ทอัพกำลังเติบโตอย่างเห็นชัดเจน โดยยอดการลงทุนในแต่ละดีลอยู่ที่ราว 8-40 ล้านบาทต่อกิจการ ทั้งนี้ ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องและตามที่บริษัทกำหนด
นายพจน์ หะริณสุต ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า บลจ.วรรณ เล็งเห็นโอกาสการเติบโตของกลุ่มธุรกิจสตาร์ทอัพมาอย่างต่อเนื่อง และในฐานะนักลงทุนสถาบันพร้อมให้การสนับสนุนการลงทุนในกลุ่มธุรกิจดังกล่าว
“การร่วมมือกันในครั้งนี้ ถือเป็นการยกระดับตลาดทุนไทย และเพิ่มความหลากหลายให้กับสินทรัพย์ทางเลือก จากเดิมมักจำกัดอยู่ในตราสารทุน ตราสารหนี้ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ อีกทั้งที่ผ่านมา บลจ.วรรณ มีความมุ่งมั่นที่จะนำร่องผลิตภัณฑ์การลงทุนรูปแบบใหม่ๆ มาโดยตลอด เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกในการลงทุน และไม่พลาดโอกาสการลงทุนที่น่าสนใจ”
นายพจน์ กล่าว
ทั้งนี้ บลจ.วรรณ เตรียมนำเสนอขายกองทุนรวมที่มีนโยบายการลงทุนใน กองทุน Finno Efra Private Equity Trust ซึ่งเป็นกองทุนรวมแรกของประเทศไทยที่ลงทุนในธุรกิจสตาร์ทอัพ Pre-Series A เพื่อรองรับความต้องการลูกค้าประเภทกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่พิเศษ (UI) ลงทุนขั้นต่ำเริ่มต้นเพียง 500,000 บาท โดยคาดว่าจะเปิดเสนอขายครั้งแรกพร้อมกองทรัสต์ อย่างไรก็ดีขณะนี้กองทุนอยู่ระหว่างการพิจารณาอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
นายภาวุธ พงษ์วิทยภานุ ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท อีฟราสตรัคเจอร์ จำกัด กล่าวว่า “นอกเหนือจากเรื่องการลงทุนที่มีอย่างจำกัดแล้ว อีกประเด็นที่น่าสนใจคือ หลักสูตรหรือโปรแกรมที่ทำหน้าที่เป็นโค้ชให้คำปรึกษา และบ่มเพาะสตาร์ทอัพรายใหม่ๆ ลดน้อยลงไปมาก ซึ่งจริงๆ แล้วมองว่า Accelerator และ Incubator คือจิกซอว์สำคัญที่จะทำให้สตาร์ทอัพรายใหม่ๆ เกิดขึ้นและเป็นกำลังสำคัญที่ช่วยให้สตาร์ทอัพประสบความสำเร็จได้มากขึ้น อีกทั้งยังเป็นเสมือนตัวเชื่อมระหว่างผู้ลงทุนและสตาร์ทอัพได้เป็นอย่างดี ดังนั้นสิ่งที่จะเกิดขึ้นคู่ขนานไปกับกองทุน Finno Efra คือ กรุงศรี ฟินโนเวต และอีฟราสตรัคเจอร์ จะร่วมกันทำ Finno Efra Accelerator Program เปิดโอกาสให้สตาร์ทอัพที่สนใจสมัครเข้ามาเรียนรู้ โดยเราจะใช้เครือข่าย ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญที่มีสร้างให้หลักสูตรนี้ครอบคลุมในทุกๆ มิติที่สำคัญสำหรับสตาร์ทอัพ ออกแบบหลักสูตรให้สตาร์ทอัพที่เข้ามาได้พัฒนาศักยภาพของตนเองอย่างเต็มที่”
Finno Efra Accelerator Program จะใช้เวลาประมาณสี่เดือน โดยในแต่ละรอบจะเปิดรับสตาร์ทอัพประมาณ 10 บริษัทและสตาร์ทอัพที่เข้าร่วมเรียนในหลักสูตรนี้จะมีโอกาสได้รับเงินลงทุนจากกอง Finno Efra และพบกับนักลงทุนรายอื่นๆ อีกด้วย
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ กองทุน Finno Efra Private Equity Trust และ Finno Efra Accelerator Program ได้ที่
www.krungsrifinnovate.com หรือ Facebook: Krungsri Finnovate