หนึ่งในปัญหาหลักสำคัญที่คนไทยส่วนใหญ่กำลังเผชิญอยู่ในปัจจุบัน ก็คือ การ “ไม่มีเงินออม” ที่เพียงพอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อสังคมไทย กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย ที่มีสัดส่วนจำนวนประชากรเป็นผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อเทียบกับคนวัยอื่น ๆ นั่นหมายความว่า คนไทยส่วนใหญ่กำลังเข้าสู่วัยเกษียณ โดยที่ไม่ได้ออมเงินเกษียณไว้อย่างเพียงพอ
ปัญหาดังกล่าวอาจมีที่มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการไม่เคยตระหนักถึงความสำคัญของการต้องมีเงินเกษียณมาก่อนหน้านี้ มีรายได้เท่าไร ก็ใช้เพื่อความสุขในปัจจุบันจนหมด จนเพิ่งมาตระหนักได้ว่า ใกล้เกษียณแล้ว แต่แทบไม่มีเงินเก็บเลย ทำให้เก็บเงินเกษียณไม่ทัน หรืออาจเป็นเพราะมีภาระการเงินในปัจจุบันเป็นจำนวนมาก ทั้งค่าใช้จ่ายส่วนตัว ค่าเลี้ยงดูคนในครอบครัว ค่าผ่อนบ้านผ่อนรถ รวมถึงปัญหาหนี้สินอื่น ๆ ที่มีอยู่ จนรายได้ที่หาได้ แทบจะไม่พอกับรายจ่าย ทำให้ไม่เหลือเงินเก็บออมเลย ความหวังของการ
วางแผนการเงินหลังเกษียณจึงเหลือแค่หวังพึ่งรายได้จากเงินบำเหน็จบำนาญชราภาพจากประกันสังคม หรือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุเท่านั้น
ทำไมมีแค่เบี้ยยังชีพถึงยังไม่พอ?
หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วจริง ๆ ตอน
เกษียณต้องมีเงินเท่าไร? ลำพังเงินชราภาพ หรือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะเพียงพอไหม? ซึ่งจากการประเมินพบว่า หากเกษียณในปัจจุบัน อย่างน้อยที่สุดควรต้องมีเงินเก็บประมาณ 3-4 ล้านบาท ถึงจะเพียงพอไว้ใช้จ่ายได้ประมาณ 6-7 พันบาทต่อเดือน เป็นเวลาประมาณ 20 ปี
ทั้งนี้ก็ถือว่าเป็นรายจ่ายขั้นต่ำมาก ๆ และอาจจะไม่เพียงพอหากต้องใช้ชีวิตในเมืองใหญ่ รวมถึงในอนาคตก็น่าจำเป็นต้องมีเงินเกษียณจำนวนมากกว่านี้ ตามเงินเฟ้อที่ทำให้ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ สูงขึ้น ดังนั้น แม้จะมีเงินได้จากเงินชราภาพ หรือจากเบี้ยยังชีพก็ยังอาจจะไม่เพียงพอ เพราะเบี้ยยังชีพจะอยู่ที่ 600-1,000 บาทต่อเดือน ขณะที่เงินบำนาญชราภาพอยู่ที่สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาทต่อเดือนเท่านั้น
บอกลาชีวิตเกษียณไม่มีเงินเก็บ เพียงแค่รู้จักลงทุนด้วยวิธีนี้
เพื่อที่จะวางแผนออมเงินเกษียณได้อย่างมีประสิทธิภาพ อุ่นใจได้ว่าจะมีเงินเกษียณที่เพียงพอ Krungsri The COACH ขอแนะนำแผนการออมเงินเกษียณไว้ 2 ข้อ ดังนี้
1. เปลี่ยนวิธีการออมเงิน
จาก “เหลือเท่าไรค่อยเก็บออม” เป็น “เก็บออมก่อนใช้” คือ ตัดออมทันทีที่มีรายได้เข้ามา อย่างน้อย “10% ของรายได้” หรือมากกว่านั้นได้ยิ่งดี เพื่อให้แน่ใจว่า เราจะมีเงินออมแน่ ๆ เป็นประจำทุกเดือน
2. เลือกเครื่องมือการออมให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเรา
โดยใช้ “กองทุนรวม” แทนบัญชีเงินฝากแบบเดิม ๆ จะช่วยให้เงินเราเติบโตในระยะยาวได้มากกว่าแค่ฝากเงินในบัญชี อีกทั้งยังมีข้อดี คือ มีผู้จัดการกองทุน คอยบริหารจัดการการลงทุนแทนเรา และมีการกระจายความเสี่ยง ด้วยการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์หลายตัว โดยที่สามารถลงทุนด้วยเงินเริ่มต้นจำนวนน้อยได้
ตัวอย่างการออมเงินเกษียณด้วยการลงทุนประจำใน “กองทุนรวม”
สมมติว่า เรามีเงินเดือน 30,000 บาท ทันทีที่เงินเดือนเข้าบัญชี
- ควรหักเงินอย่างน้อย 10% คือ 3,000 บาท ไปลงทุนในกองทุนรวมทันที เป็นประจำทุกเดือน
- อาจกระจายซื้ออย่างน้อย 2-3 กองทุน เพื่อกระจายความเสี่ยง
- กองทุนหนึ่งอาจจะไปซื้อกองทุนตราสารหนี้ที่ความเสี่ยงค่อนข้างต่ำ จำนวน 1,000 บาท อีกกองทุนก็ไปซื้อกองทุนหุ้นที่อาจจะเสี่ยงสูงกว่า แต่มีโอกาสเติบโตได้มากกว่า จำนวน 2,000 บาท ผสมกัน เพื่อกระจายความเสี่ยงในการลงทุน
- ลงทุนเป็นประจำแบบนี้ทุกเดือน ไปจนเกษียณ
ก็จะช่วยให้เราอุ่นใจได้ว่า เราได้ออมเงินเป็นประจำทุกเดือน และเงินออมของเรา ก็จะได้นำไปลงทุนให้มีโอกาสงอกเงยเติบโต เพียงพอใช้หลังเกษียณได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น เป็นต้น
“พอร์ตลงทุนเพื่อเกษียณ” ถ้าจะให้ดีต้องมีธีมการลงทุนใน ESG ติดพอร์ต
ถ้าหากจะเลือกลงทุนในกองทุนรวมแล้ว Krungsri The COACH แนะนำให้แบ่งเงินไปลงทุนในกลุ่ม ESG ไว้ส่วนหนึ่ง อย่างน้อย 5-10% ของมูลค่าเงินลงทุนทั้งหมดในพอร์ตการลงทุนของเรา เพื่อเพิ่มโอกาสให้เงินลงทุนโดยรวม มีโอกาสเติบโตได้ดีขึ้น
ทำไมการลงทุนธีม ESG ถึงน่าสนใจ?
เนื่องจากธีมการลงทุนในหุ้นกลุ่ม ESG จะเป็นการเลือกลงทุนในธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับ 3 องค์ประกอบสำคัญ คือ
- ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม (Environment: E)
- ผลกระทบต่อสังคม (Social: S)
- การมีธรรมาภิบาล (Governance: G)
เช่น ลดการปล่อยมลภาวะสู่อากาศ หรือแหล่งน้ำ ด้วยการใช้พลังงานหมุนเสียและการรีไซเคิล ให้ความสำคัญกับเรื่องความเท่าเทียม และความแตกต่างหลากหลายภายในองค์กร สนับสนุนการพัฒนาชุมชนที่อยู่รอบองค์กร หรือมีความโปร่งใสในการบริหาร ต่อต้านการทุจริตและคอรัปชั่น เป็นต้น ทำให้ธีมการลงทุนในหุ้น ESG กำลังมาแรง เนื่องจากเป็นธุรกิจกลุ่มที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล และหลายภาคส่วนหันมาตระหนักและให้ความใส่ใจกับองค์ประกอบที่สำคัญดังกล่าวมากขึ้นในปัจจุบัน
ทำให้การลงทุนในธีม ESG มีข้อดีที่สำคัญคือ
ช่วยเพิ่มโอกาสให้เงินลงทุนของเรา เติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว เนื่องจากธุรกิจที่ลงทุนอยู่ เป็นธุรกิจที่ดี มีคุณภาพ และมีความเป็นธรรม จึงมีความเสี่ยงจากปัญหาต่าง ๆ น้อย และมีโอกาสเติบโตได้อย่างมั่นคง รวมถึงจากกระแสความสนใจอย่างสูงในหุ้นกลุ่มนี้ในปัจจุบัน ก็ช่วยเพิ่มโอกาสที่เราจะได้รับผลตอบแทนสูงในระยะสั้นไปพร้อม ๆ กันด้วยเช่นกัน
กองทุนในธีม ESG ที่น่าสนใจมีกองทุนอะไรบ้าง?
สำหรับผู้ที่สนใจลงทุนในหุ้นธีม ESG ทาง Krungsri The COACH แนะนำกองทุนรวมหุ้น ESG ของทางบลจ.กรุงศรี ที่น่าสนใจไว้ 2 กองทุน ดังนี้
1. สำหรับคนที่สนใจลงทุนธีม ESG ในต่างประเทศ
Krungsri The COACH ขอแนะนำกองทุน
“KFCLIMA-A” กรุงศรี ESG Climate Tech-สะสมมูลค่า เป็นกองทุนเน้นการสะสมมูลค่า (ไม่จ่ายเงินปันผล) ที่เน้นลงทุนในหุ้นของบริษัททั่วโลก ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับเทคโนโลยีการควบคุม หรือลดการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate-Tech) เหมาะกับคนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง (ระดับความเสี่ยง 6) และสนใจกระจายเงินลงทุนบางส่วนมาลงทุนต่างประเทศที่อยู่ในธีม ESG สามารถลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คลิก
2. สำหรับคนที่สนใจลงทุนธีม ESG ในไทย พร้อมสิทธิลดหย่อนภาษี
Krungsri The COACH ขอแนะนำกองทุน
“KFTHAIESG” กรุงศรีเอ็นแฮนซ์เซ็ทไทยเพื่อความยั่งยืน-ไทยเพื่อความยั่งยืนปันผล ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นไทยธีม ESG เหมาะกับคนที่สามารถรับความเสี่ยงได้สูง (ระดับความเสี่ยง 6) ที่ต้องการลงทุนในหุ้น ESG ในไทย และต้องการสิทธิลดหย่อนภาษีสูงสุดไม่เกิน 100,000 บาท สามารถเลือกได้ทั้งแบบเน้นจ่ายปันผล (กอง KFTHAIESGD) หรือแบบเน้นสะสมมูลค่า (KFTHAIESGA) โดยมีเงินลงทุนขั้นต่ำ 500 บาท ขอรับหนังสือชี้ชวน และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คลิก
หลายคนอาจจะคิดว่า การมีเงินล้านในวัยเกษียณเป็นเรื่องยาก แต่หากเรามีการวางแผนเกษียณตั้งแต่เนิ่น ๆ รู้จักวางแผนการออมเป็นประจำก่อนใช้จ่าย และนำเงินออมไปลงทุนในเครื่องมือที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับเงินเกษียณของเราในระยะยาวอย่างเช่น กองทุนรวม การมีเงินล้านในวัยเกษียณก็มีโอกาสเป็นจริงได้ไม่ไกลเกินฝัน
นอกจากนี้ หากเรารู้จักวางแผนบริหารจัดการเงินลงทุนในพอร์ตเกษียณของเราให้ดี ด้วยการแบ่งเงินที่จะออมส่วนหนึ่งไปกระจายความเสี่ยงลงทุนไว้ในสินทรัพย์ที่ช่วยเพิ่มการเติบโตในระยะยาวได้ดีให้กับพอร์ตของเราอย่างเช่น หุ้นกลุ่ม ESG ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาวด้วยแล้ว ก็ยิ่งช่วยเพิ่มโอกาสการเติบโตของเงินในพอร์ตของเราให้สูงขึ้นในระยะยาวได้ดีขึ้นอีกด้วยเช่นกัน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน
- กองทุน Thai ESG เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมระยะยาว และสนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่ปฎิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน
- KFCLIMA-A ป้องกันความเสี่ยง ด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุนจึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุน หรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน/หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
หมายเหตุ: ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ในฐานะตัวแทนจำหน่ายหน่วยลงทุนให้กับ บลจ. กรุงศรี เท่านั้น