ชีวิตคนเรานั้นมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นทางที่ดีขึ้นหรือแย่ลง คนที่มีฐานะยากจนก็อาจจะกลายเป็น “คนเคยจน” เพราะความขยันรู้จักเก็บรู้จักใช้เงินก็ทำให้ร่ำรวยขึ้นมาได้ ส่วนคนที่มีฐานะร่ำรวยก็อาจจะกลายเป็น “คนเคยรวย” เพราะสร้างนิสัยเสียที่เป็นบ่อนทำลายความร่ำรวยนั้นให้หมดไป เรามาตรวจสอบกันว่าตัวเองมีนิสัยแบบนี้รึเปล่า หากมีก็ควรปรับให้ลดลงหรือเลิกนิสัยเหล่านี้ก่อนที่จะกลายเป็นคนเคยรวยนะจ๊ะ
5 นิสัยเสียทำลายรากฐานความรวย
ในยุคที่สมาร์ทโฟนครองเมือง หันไปทางไหนก็มีแต่คนก้มหน้าก้มตาเล่นมือถือ เพียงปลายนิ้วสัมผัสที่หน้าจอ เราก็จะเข้าสู่โลกออนไลน์ได้ด้วยความเร็วที่แทบจะเป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจ สิ่งเหล่านี้ทำให้เราเริ่มเคยชินกับความเร็วจนเริ่มไม่รู้จักคำว่า “รอ” จากหลายเรื่องราวที่ก่อนหน้านี้ไม่ต้องใช้เงิน กลับกลายว่าเงินเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ทำให้ภารกิจเหล่านั้นเสร็จสิ้นลงได้ เช่น
ความอ้วน – เราต้องใช้เงินลงทุนสูงมากกว่าจะได้คำว่า “อ้วน” มาครอบครองเพราะต้องกินไม่ยั้ง หิวก็กินไม่ต้องคิดมาก ใช้เวลาสะสมความอ้วนมาแรมปี แต่พอมีคนทักว่าอ้วนมากๆ เข้าก็เริ่มรู้สึกไม่ดี ทำให้คิดอยากจะผอมกับเขาบ้าง ถ้าจะให้เข้มงวดเรื่องการกินกับออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีนะเพราะประหยัด แต่ก็ช้าเกินไปไม่ทันใจ สุดท้ายเราก็ต้องควักเงินจ่ายให้กับโปรแกรมลดน้ำหนัก ดูดไขมัน ยาลดความอ้วนเพื่อจะได้ผอมเร็วๆ
บนโลกนี้ทุกคนต้องมีเพื่อน มีสังคม ไม่มีใครสามารถอยู่คนเดียวและทำอะไรคนเดียวได้ การออกไปหาเพื่อนในสังคมใหม่ๆจะทำให้ได้รับประสบการณ์แปลกใหม่ แต่บางคนใช้เวลาอยู่กับเพื่อนมากเกินไป โดยทุกเย็นจะนัดกับเพื่อนออกไปเลี้ยงสังสรรค์ดื่มเหล้าเมาไร้สาระแทบทุกวัน ถ้าสังคมที่เราอยู่มีแต่เรื่องชวนให้เสียเงินไปกับสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ก็ควรถอยห่างออกมาบ้าง แล้วมองหาสังคมใหม่ที่จะทำให้ชีวิตตนเองพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้นน่าจะดีกว่า
การอยากรวยทางลัดจากการเสี่ยงโชคด้วยวิธีต่างๆ เช่น เล่นการพนัน ซื้อหวย เพื่อหวังว่าสักวันหนึ่งจะกลายเป็นเศรษฐีชั่วข้ามคืนกับเขาบ้าง บางคนเล่นแบบสนุกๆเพื่อให้สมองได้ทำงานจากการคิดเลข (เช่น เล่นไพ่ตาละ 1 บาท) โดยเงินที่นำมาเล่นนั้นเป็นจำนวนเล็กน้อย ครอบครัวไม่เดือดร้อนก็ยังไม่เกิดปัญหาอะไร แต่ถ้าถึงขนาดต้องกู้หนี้ยืมสินมาเสียกับเรื่องแบบนี้ มันเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง เพราะถ้าผีพนันเข้าสิงร่างเมื่อไหร่ ชีวิตคุณก็ไม่เหลือ!
การตัดสินใจซื้อของแต่ละครั้งเราจะนึกถึงความคุ้มค่าก่อนที่จะจ่ายเงิน บางคนซื้อของดีที่สุดไว้ก่อนเพราะคิดว่ายังไงก็จะต้องได้ใช้อยู่แล้ว แต่คุณรู้ไหมว่าเป็นวิธีการตัดสินใจซื้อของที่ผิดพลาดมากๆ เพราะความคุ้มค่านั้นขึ้นอยู่กับว่าเราได้ใช้มันหรือไม่ ตัวอย่างใกล้ตัวที่สุด การเลือกซื้อมือถือ บางคนคิดมาแล้วว่าจะซื้อรุ่นหนึ่ง แต่พอมาที่ร้านพนักงานขายบอกว่ารุ่นนี้มาใหม่ล่าสุด คุ้มค่ามากๆ โดยโฆษณาว่า “มีฟังก์ชั่นการใช้งานที่หลากหลาย โดยเฉพาะกล้องหน้าหลังละเอียดชัดเวอร์ๆ ถ่ายแล้วหน้าเด้ง พิเศษสุดสำหรับลูกค้าที่ซื้อวันนี้จะได้แพ็กเกจการใช้งานอินเตอร์เน็ตแบบอันลิมิต” พนักงานขายต้องการให้เราได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจึงตบท้ายว่า “เพียงแค่จ่ายเงินเพิ่มขึ้นอีกนิดหน่อยเท่านั้น เราก็จะได้ครอบครอบสิ่งที่คุ้มค่าที่สุด” แล้วเราก็ได้ความคุ้มค่านั้นกลับบ้านแทนมือถือรุ่นที่ตั้งใจจะซื้อ
สิ่งของที่เราเลือกนั้นดีที่สุด คุ้มค่าที่สุดถึงตัดสินใจซื้อ แต่ตัวเราเองนั่นแหละที่ใช้มันไม่คุ้มค่า ใช้งานไม่เต็มความสามารถ ไม่มีเวลาใช้งานหรือใช้ไปกับสิ่งที่ไม่สร้างประโยชน์ให้แก่ชีวิต แล้วความคุ้มค่าเหล่านั้นหละ มันคืออะไร? การเลือกใช้สิ่งต่างๆได้เหมาะสมกับรูปแบบการใช้ชีวิตของตนเอง สิ่งนั้นเรียกว่าความคุ้มค่า ถ้าชีวิตประจำวันของเราใช้เพียงติดต่อสื่อสารโทรเข้า-ออก แชทไลน์กับเพื่อน เล่น Facebook บ้างเล็กน้อยซึ่งกิจกรรมที่ใช้กับโทรศัพท์มีเท่านี้ เรารู้แล้วว่าไม่ควรเลือกแพ็กเกจอันลิมิตเพราะเราใช้งานไม่คุ้มค่าและอย่าหวั่นไหวกับคำว่าโปรโมชั่นที่ทำให้เราเสียเงินมากเกินกว่าความจำเป็น
การที่เรารักใครก็อยากจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้เขาคนนั้น ไม่ว่าสิ่งนั้นจะหายากแค่ไหนก็ตาม เรามีความสุขที่เป็นผู้ให้แล้วเห็นคนที่เรารักมีความสุข แต่ในมุมของผู้รับหละ เขาคิดเหมือนเราหรือไม่ สิ่งของบางอย่างที่ได้รับจนเคยชิน ไม่เกิดการรอคอย เพราะการได้รับอะไรมาง่ายๆ จะทำให้คุณค่าของสิ่งนั้นลดน้อยลง ผู้ปกครองหลายท่านแสดงความรักบุตรหลานด้วยการซื้อทุกอย่างที่เขาอยากได้ ทันทีที่ร้องขอของสิ่งนั้นก็จะมาวางอยู่ตรงหน้า มันง่ายเกินไปไหม?
ความรักนั้น มีทั้งสร้างสรรค์และทำลายล้างได้เช่นกัน ถ้าไม่อยากจะกลายเป็น “พ่อแม่รังแกฉัน” ควรสอนให้เขารู้จักกับโลกภายนอกที่แตกต่างกับความรักของพ่อแม่ เพื่อให้เขาได้เติบโตเป็นคนเข้าใจโลกมากขึ้น รู้จักอดทน รู้จักรอคอยเพื่อสิ่งที่อยากได้ รู้ว่าไม่มีอะไรได้มาง่ายๆ เราไม่ได้สอนให้เขาหวาดกลัวกับโลกที่โหดร้ายใบนี้ แต่สอนให้เขารู้จักดูแลตนเองเพราะไม่มีใครคุ้มครองเขาได้ตลอดชีวิต