เรื่องน่ารู้ก่อนการลงทุนในเวียดนาม ฉบับปี 2023

โดย สิรภัทร เกาฏีระ CFP® นักวางแผนการเงิน
07 สิงหาคม 2566
เรื่องน่ารู้ก่อนการลงทุนในเวียดนาม
การลงทุนในเวียดนามกำลังอยู่ในความสนใจของนักลงทุนชาวไทย จากบทบาทที่ได้พิสูจน์ตัวเองในเวทีเศรษฐกิจโลก ช่วงที่ทั่วโลกกำลังประสบกับปัญหาสภาพเศรษฐกิจถดถอย แต่ประเทศเวียดนามได้แสดงออกถึงความแข็งแกร่ง ด้วยการเป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศที่ผ่านวิกฤตการณ์นั้นมาได้ หลังจากนั้นมาสถานการณ์ต่าง ๆ ในประเทศเวียดนามก็ดูจะสดใส ชวนให้น่าลงทุน แต่เพื่อความมั่นใจในก้าวต่อไปของประเทศเวียดนามในปี 2023 เราชวนทุกท่านมาศึกษาเรื่องน่าสนใจก่อนการลงทุนกันสักนิด เพื่อใช้เป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ
 

วิเคราะห์ภาวะเศรษฐกิจ การลงทุนในเวียดนามมีความน่าสนใจจริงหรือ

ประเทศเวียดนามประสบความสำเร็จด้วยตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจช่วงสิ้นปี 2022 ด้วยอัตรา 8.02% แต่เมื่อผ่านเข้าสู่ปี 2023 ได้ไม่นาน ในเดือนมกราคม ประธานาธิบดีเหงียน ซวน ฟุก ก็ได้ประกาศลาออกจากตำแหน่ง เพื่อแสดงความรับผิดชอบต่อการทุจริตที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าทั้ง 2 เรื่องนี้มีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของเหล่านักลงทุน
 

1. เศรษฐกิจช่วงปี 2016-2020

ย้อนรอยเศรษฐกิจประเทศเวียดนามกลับไปในช่วงปี 2016-2020 พบว่า ทิศทางการเติบโตมีอัตราเพิ่มขึ้นสูงอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเลขเฉลี่ยถึง 5.9% ต่อปี ด้วยปัจจัยที่ประเทศเวียดนามมีประชากรส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในวัยทำงาน อีกทั้งค่าแรงภายในประเทศยังมีอัตราที่ถูก แต่ความต้องการซื้อกลับมีอยู่สูง เพราะประเทศเวียดนามมีประชากรเกือบ 100 ล้านคน ประเทศเวียดนามจึงมีความแข็งแกร่งด้านการซื้อขายสินค้าบริโภคเป็นอย่างมาก

อีกหนึ่งปัจจัยสำคัญ คือ เมื่อประเทศสหรัฐอเมริกาเกิดความขัดแย้งกับประเทศจีน ทำให้นักลงทุนที่เป็นชาวต่างชาติในประเทศจีน เริ่มเปลี่ยนฐานมาลงทุนเวียดนามแทน ซึ่งการตั้งฐานการผลิตครั้งนี้เป็นการลงทุนโดยตรง ส่งผลให้ประเทศเวียดนามกลายเป็นประเทศที่มีเงินลงทุนเทเข้ามาสู่ภายในประเทศมากที่สุด จนได้รับการขนานนามว่าเป็นฐานการผลิตใหม่ของโลก
 

2. เศรษฐกิจช่วงปี 2021

เป็นช่วงที่ทั่วโลกได้รับผลกระทบจากภาวะโรคระบาด ซึ่งประเทศเวียดนามก็ได้รับผลกระทบจนต้องประกาศปิดประเทศ จนทำให้ค่า GDP ของประเทศในปี 2021 โตขึ้นเพียง 2.84%
 

3. เศรษฐกิจช่วงปี 2022

เป็นปีที่ประเทศเวียดนามประกาศศักยภาพต่อเวทีเศรษฐกิจโลก ด้วยการกลับมามีตัวเลขเติบโตทางเศรษฐกิจถึง 8.02% ซึ่งนับว่าเป็นอัตราการเติบโตที่สูงที่สุดในทวีปเอเชีย ด้วยการตัดสินใจเปิดประเทศอย่างเต็มรูปแบบ พร้อมประกาศผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคระบาดในเดือนมีนาคม 2022 ทำให้เศรษฐกิจทุกภาคส่วน ทั้งการผลิต การท่องเที่ยว และการซื้อขายสินค้าอุปโภค-บริโภค กลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแรงและรวดเร็ว
 

4. เศรษฐกิจในช่วงปี 2023

นักวิชาการหลายคนมองแนวโน้มว่า ในปีนี้การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามอาจจะอยู่ในช่วงชะลอตัว เนื่องจากเพิ่งผ่านจุดสูงสุดของการเติบโตมา แต่ก็มีนักวิชาการอีกหลายคนออกมาวิเคราะห์ว่า แนวโน้มทางเศรษฐกิจจะเพิ่มสูงขึ้นอีกอย่างต่อเนื่อง และน่าจะเป็นดาวดวงใหม่แห่งเวทีเศรษฐกิจ ซึ่งความเห็นต่างทั้ง 2 ฝ่ายนี้ สะท้อนให้เห็นว่า ในปี 2023 ภาวะเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามยังคงมีความผันผวนสูง ดังนั้นการลงทุนหุ้นเวียดนามหรือในกองทุนจะต้องใช้ความระมัดระวัง
 
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในเวียดนาม
 

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่น และการลงทุนในเวียดนาม

ปัจจัยแรกที่ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของการลงทุนในเวียดนาม หลายคนคาดการณ์ว่า การประกาศลาออกของประธานาธิบดีเมื่อช่วงต้นปี 2023 ที่ผ่านมา จะส่งผลต่อความเชื่อมั่นอย่างสูง แต่ปรากฏว่านักลงทุนเพียงแค่ชะลอการลงทุนเพื่อรอดูนโยบายและทิศทางของประธานาธิบดีคนใหม่เท่านั้น ส่วนในตลาดหุ้นเวียดนามก็เกิดเรื่องน่าประหลาดใจ เพราะแทนที่ตัวเลขการลงทุนจะเข้าสู่ขาลงอย่างรุนแรง แต่กลับมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสายในช่วงนั้น

จากปรากฏการณ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า กลุ่มนักลงทุนเห็นด้วยต่อการแสดงความรับผิดชอบของประธานาธิบดี และต้องการให้ประเทศมีความเข้มงวดด้านการป้องกันและปราบปรามการทุจริตให้มากขึ้น และที่สำคัญเป้าหมายหลักของประเทศเวียดนามคือ การก้าวไปสู่การเป็นประเทศแถวหน้าในระดับภูมิภาค และขึ้นเป็นประเทศที่ได้รับการยอมรับในระดับโลก ดังนั้นไม่ว่านโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่จะเป็นอย่างไร แนวทางการบริหารก็จะไม่แตกต่างไปจากเป้าหมายหลัก

ปัจจัยต่อมาคือ ถึงแม้ว่าช่วงสิ้นปี 2022 ประเทศเวียดนามจะมีตัวเลขเศรษฐกิจที่ขยายตัวสูง แต่ภาพรวมตลาดหุ้นในปี 2022 กลับมีความผันผวนสูง โดยตลาดหุ้นเวียดนาม (VNI) อยู่ในช่วงขาลงอย่างหนักถึง 30% เนื่องจากในเดือนเมษายน 2022 เกิดการปั่นหุ้นครั้งใหญ่จากนักลงทุนรายใหญ่ และจากกลุ่มผู้บริหารหลักทรัพย์ในประเทศเวียดนามเอง เหล่านักลงทุนจึงเริ่มเทขายหุ้นออกด้วยความกังวลใจที่มีมากขึ้น

อีกทั้งธนาคารกลางเวียดนามยังมีนโยบายปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้ดอกเบี้ยในตลาดเงินมีอัตราสูงขึ้น นักลงทุนจึงเริ่มย้ายเงินออกจากตลาดหุ้น โดยเปลี่ยนมาเป็นการฝากเงินแทน จึงแสดงให้เห็นว่า ถึงแม้ว่าตัวเลขเศรษฐกิจจะดีขึ้นมากที่สุดในรอบ 25 ปี แต่ความผันผวนในตลาดหลักทรัพย์ก็ไม่สามารถประคองได้ นักลงทุนจึงควรใช้ความระมัดระวังในการลงทุนหุ้นเวียดนาม เพราะแนวโน้มการเดินสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจอย่างในปี 2022 มีโอกาสเกิดขึ้นเสมอ
 

ธุรกิจที่มีโอกาสและแนวโน้มจะเจริญเติบโตในประเทศเวียดนาม

สำนักงานสถิติประเทศเวียดนามได้คาดการณ์ไว้ว่า ในปี 2023 ค่า GDP ของประเทศจะเติบโตขึ้นในอัตรา 6.5% ซึ่งแตกต่างจากการคาดการณ์ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เล็กน้อย ที่คาดการณ์ว่า GDP ของประเทศเวียดนามจะเติบโตขึ้น 6.2% แต่ไม่ว่าการคาดการณ์ของหน่วยงานไหนก็สามารถเป็นจริงได้ เพราะความแข็งแกร่งของภาคการผลิต ที่มีบริษัทระดับแถวหน้าของโลกย้ายฐานการผลิตมาอยู่ในประเทศนี้ อย่างบริษัท Samsung ที่ยังคงฐานการผลิตและลงทุนอย่างต่อเนื่อง และเมื่อปี 2022 ที่ผ่านมาก็เพิ่งจะเพิ่มทุนไปอีก 3.3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

ส่วนในปี 2023 นี้ บริษัท Apple ได้ตัดสินใจย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศเวียดนามด้วยเช่นกัน ซึ่งก่อนหน้านี้ Apple ได้เข้ามาตั้งฐานการผลิต AirPods และ iPad มาแล้ว ในปีนี้จึงถึงคิวของ MacBook ที่จะย้ายเข้ามาลงทุนในเวียดนาม

และอีกหนึ่งเรื่องที่น่าสนใจ เกี่ยวกับการเจริญเติบโตและแนวโน้มที่จะเพิ่มโอกาสให้กับธุรกิจในประเทศเวียดนามในอนาคตคือ การรวมตัวกันของผู้บริหารระดับสูงจาก 52 บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐอเมริกา อย่าง Boeing และ Netflix ที่ได้เข้าร่วมดูงานในประเทศเวียดนาม โดยการนำของอดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศเวียดนาม เพื่อศึกษาและหาแนวทางในการขยายธุรกิจ

และการที่ประเทศเวียดนามมีจุดแข็งอยู่ที่ความสามารถในการค้าขายได้อย่างอิสระกับหลากหลายประเทศ เพราะได้ทำข้อตกลงการค้าเสรี (CPTPP) กับนานาประเทศ จึงเป็นเครื่องการันตีได้ว่า นอกจากประเทศเวียดนามจะได้รับความไว้วางใจจากเวทีเศรษฐกิจโลกแล้ว ยังเป็นประเทศที่เปิดโอกาสให้นักลงทุนเข้ามาทำธุรกิจใหม่ ๆ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีอุตสาหกรรมการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ อุตสาหกรรมผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และรวมไปถึงธุรกิจอื่น ๆ ภายในประเทศได้อย่างเสรี
 
ความเสี่ยงของการลงทุนในเวียดนาม
 

แม้เศรษฐกิจจะดี แต่การลงทุนในเวียดนามย่อมมีความเสี่ยงที่ควรระวัง

เรื่องประเด็นความเสี่ยงเกี่ยวกับการลงทุนเวียดนามในปี 2023 คงหนีไม่พ้นปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่ทั่วโลกกำลังเผชิญอยู่ในตอนนี้ โดยประเทศเวียดนามมีอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ 4.6% ซึ่งนับว่าสูงกว่าการคาดการณ์ภาวะเงินเฟ้อทั้งปีที่ 4.5% และหลายฝ่ายมีการวิเคราะห์ว่า ธนาคารกลางเวียดนามจะต้องประกาศเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีกในช่วงครึ่งปีแรก เพื่อรักษาเสถียรภาพของเงินดองเอาไว้ และเมื่อควบคุมอัตราเงินเฟ้อได้ดีแล้ว ช่วงครึ่งปีหลังอาจมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจ

แต่แล้วเรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ธนาคารกลางเวียดนามได้ประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 1% เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง และช่วยหนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจ ท่ามกลางกระแสความวุ่นวายทั่วโลกที่ Silicon Valley Bank (SVB) ล่มสลาย ซึ่งดูเหมือนว่าประเทศเวียดนามต้องการพิสูจน์ตัวเองอีกครั้ง ด้วยการนำพาเศรษฐกิจของประเทศในปี 2023 ให้เจริญเติบโตมากกว่าที่หลายสำนักได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้าว่า ประเทศเวียดนามจะต้องพบกับวิกฤติเงินเฟ้ออย่างหนัก และเศรษฐกิจในปี 2023 จะเกิดการชะลอตัวลดลงไปอยู่ที่เฉลี่ย 6.3% หลังจากเติบโตสูงสุดในปี 2022

ดังนั้น ความเสี่ยงที่ยังคงผันผวนจากเศรษฐกิจและการเมืองในประเทศเวียดนาม จึงเป็นเรื่องที่ยังคงต้องระมัดระวังในการลงทุน แต่หากมองอีกมุมหนึ่ง “ทุกความผันผวน มักมีโอกาสทำกำไรเสมอ” หากใครคิดเช่นนี้ เราต้องศึกษาเรื่องการลงทุนในกองทุนในเวียดนามเพิ่มเติมกันแล้ว เพราะจะเสี่ยงทั้งที ก็ต้องเสี่ยงแบบเปิดโอกาสได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า
 

แนวทางในการเริ่มลงทุนในเวียดนาม ลงทุนอย่างไรให้ได้โอกาสรับกำไร

จากข้อมูลที่กล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าประเทศเวียดนามมีจุดแข็งที่น่าลงทุนในเวียดนามอยู่หลายจุด แต่ในจุดแข็งนั้นก็ยังมีความแปรผันเกิดขึ้นภายใน อย่างเศรษฐกิจเติบโตดีที่สุดในรอบ 25 ปี แต่ตัวเลขตลาดหุ้นกลับอยู่ในช่วงขาลง ไม่สามารถประคองได้ หรือแม้แต่การประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลางด้วยท่าทีที่มั่นใจว่า จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อได้ ซึ่งก็เป็นนโยบายที่สวนทางกับธนาคารกลางทั่วโลก ฉะนั้นแล้วเราควรวางแผนการลงทุนให้รัดกุม เพราะตลาดนี้มีความเสี่ยง

ลองมาดูการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์กันบ้าง ในปี 2022 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศเวียดนามมีการเติบโตอย่างร้อนแรง โดยมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้นถึงอัตรา 20% เลยทีเดียว แต่ทางรัฐบาลเวียดนามมองว่าราคาอสังหาริมทรัพย์ที่สูงขึ้นนี้ อาจนำไปสู่ปัญหาฟองสบู่ได้ในอนาคต จึงมีมาตรการเพิ่มความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อจากธนาคาร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และผู้กู้

บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จึงหันมาใช้วิธีการระดมทุนเพื่อออกหุ้นกู้ แทนการขอสินเชื่อจากธนาคาร แต่ก็เกิดการนำหุ้นกู้ไปใช้อย่างผิดวัตถุประสงค์ ทำให้รัฐบาลมีมาตรการที่เข้มงวดต่อหุ้นกู้มากขึ้น สิ่งที่ตามมาคือการขาดสภาพคล่องในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งถ้าถามว่าภายในปี 2023 นี้จะแก้ไขปัญหานี้ได้หรือไม่ ทางประเทศเวียดนามก็ยืนยันว่าแก้ไขได้ แต่ยังต้องใช้เวลา

ดังนั้นแล้วการลงทุนในกองทุนเวียดนามจึงเปิดโอกาสในการลงทุนได้มากกว่าการลงทุนในสินทรัพย์อื่น ๆ อย่าง กองทุนเปิดพรินซิเพิล เวียดนาม อิควิตี้ ชนิดสะสมมูลค่า (PRINCIPAL VNEQ-A) ซึ่งเป็นกองทุนเน้นลงทุนตราสารทุนในประเทศเวียดนาม

โดยกองทุนนี้มีความเสี่ยงอยู่ในระดับ 6 ซึ่งนับว่ามีความเสี่ยงสูง จึงเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่สามารถรับความผันผวนของภาวะเศรษฐกิจในประเทศเวียดนาม และกองทุนป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงเหมาะสมกับผู้ลงทุนที่สามารถรับความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากค่าเงินได้

การลงทุนในเวียดนามมีจุดแข็งที่น่าสนใจและน่าลงทุนหลายประการ แต่การลงทุนทุกชนิดย่อมมีความเสี่ยง ดังนั้นการศึกษาถึงข้อมูล ความรู้เกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ และการติดตามข่าวสารเป็นประจำ จะช่วยเพิ่มความระมัดระวังในการลงทุนได้มากขึ้น โดยเฉพาะประเทศเวียดนามที่เปรียบเสมือนดาวดวงใหม่แห่งเวทีเศรษฐกิจโลก ยิ่งต้องเพิ่มข้อมูลข่าวสารให้รอบด้าน รวมไปถึงทักษะด้านการลงทุนด้วยเช่นกัน และสำหรับท่านที่สนใจด้านการลงทุนในต่างประเทศ แต่ยังไม่มั่นใจในการตัดสินใจของตนเอง ธนาคารกรุงศรีมีผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การลงทุน ให้คุณสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำ ผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่ 02-296-5959 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 น.-17.00 น. หรือฝากข้อมูล เพื่อให้ที่ปรึกษาทางด้านการเงินจาก KRUNGSRI PRIME ติดต่อกลับก็ได้เช่นกัน

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
  • ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • กองทุน PRINCIPAL VNEQ-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนตามดุลยพินิจของผู้จัดการกองทุน จึงมีความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งอาจทำให้ผู้ลงทุนขาดทุนหรือได้รับกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน หรือได้รับเงินคืนต่ำกว่าเงินลงทุนเริ่มแรกได้
สนใจร่วมเป็นลูกค้า ด้วยการเลือก KRUNGSRI PRIME ต่อยอดเงินให้เติบโต​
KRUNGSRI PRIME ช่วยพาคุณไปสู่เป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มความมั่งคั่งทางการเงิน และต่อยอดเงินล้านของคุณให้เติบโตสู่ล้านถัดๆไป นอกจากนี้ KRUNGSRI PRIME ยังมอบความพิเศษด้วยสิทธิ์ต่างๆทั้งด้านการเงินและไลฟ์สไตล์ที่ถูกคัดสรรมาให้แก่ลูกค้าคนพิเศษเช่นคุณ