การส่งออกของไทยกลับมาฟื้นตัวด้วยมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 10.5 ล้านล้านบาท ท่ามกลางความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน การส่งออกถือเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย กลุ่มอุตสาหกรรมไหนรุ่ง อุตสาหกรรมไหนร่วง ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยหรือไม่ บทความนี้จะพาไปหาคำตอบ
ย้อนกลับไป 20 ปีก่อนหน้านี้ การส่งออกถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยมี
อัตราการขยายตัวเฉลี่ย 7% ต่อปี จะคิดเป็นสัดส่วนต่อการเติบโตของ GDP ประเทศถึง 80% ขณะที่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การส่งออกขยายตัวเพียง 1.2% และมีบทบาทต่อการเติบโตของ GDP ไม่ถึง 30% แต่ปีที่ผ่านมา ตัวเลขส่งออกขยายตัวถึง 5.4% มีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ การเติบโตนี้จะยั่งยืนหรือไม่ และมีกลุ่มสินค้าใดบ้างที่เป็นดาวรุ่ง
5 กลุ่มอุตสาหกรรมมาแรง
สำหรับสินค้า 5 อันดับแรกที่มีการส่งออกมากที่สุด ได้แก่
- รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ มูลค่า 1,090,478.65 ล้านบาท
- เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ มูลค่า 862,931.98 ล้านบาท
- อัญมณีและเครื่องประดับ มูลค่า 642,343.42 ล้านบาท
- ผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 498,871.94 ล้านบาท
- เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล มูลค่า 361,564.87 ล้านบาท
แม้ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะถดถอยต่อเนื่อง แต่รถยนต์ยังเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยมีการขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์, สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก, อินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่หดตัวในตลาดออสเตรเลีย, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, ซาอุดีอาระเบีย และบราซิล ขณะที่คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มสินค้าเกษตรยังเติบโตได้ดี เช่น ยางพารา, ไก่สดแช่เย็น-แช่แข็ง, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป รวมถึงผลไม้
อย่างไรก็ตาม ถ้ามองแนวโน้มการเติบโต กลุ่มสินค้าที่หดตัวลง ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ โดยเฉพาะเครื่องยนต์สันดาปภายใน รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูป และสินค้าสำคัญอย่างข้าว และน้ำตาลทราย จะเห็นได้ว่าสินค้าที่หดตัวลงเป็นกลุ่มสินค้าที่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้สอดคล้องกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งรถยนต์สันดาปแบบเดิม และน้ำมันสำเร็จรูป สะท้อนให้เห็นว่าไทยต้องเร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างของอุตสาหกรรมในประเทศไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
แนวโน้มส่งออกยังเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
สำหรับแนวโน้มการส่งออกของไทยยังมีแรงส่งให้เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ 1-3% ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้านที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่
- สงครามการค้ารอบใหม่จากทรัมป์ 2.0
- ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลบวกและลบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทย
- มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ดึงนักลงทุนกลับประเทศและมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ร้อนแรงต่อเนื่อง
- แนวทางการลด และยกเลิกความเข้มงวดของมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ
- ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ การอ้างสิทธิเหนือน่านน้ำ นำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารในทะเลจีนใต้ รวมทั้งสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่ได้ข้อยุติ
- ค่าเงินบาทที่ผันผวนต่อเนื่อง จากปัจจัยภายในประเทศ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อและนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
- ต้นทุนของผู้ส่งออกเพิ่มขึ้นจาก
- การปรับขึ้นค่าแรง ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและการขนส่ง
- ทิศทางราคาน้ำมันและต้นทุนด้านพลังงานในตลาดโลกยังมีความผันผวนต่อเนื่องจากความเสี่ยงหลายด้าน
- สถานการณ์การขนส่งทางทะเล จากสถานการณ์ค่าระวางเรือมีการปรับตัวสูงขึ้น จากการเร่งส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และปัญหาทะเลแดงที่ยังมีอิทธิพลต่อการส่งออกไปสหภาพยุโรปและตะวันออกกลาง
การส่งออกของไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างในบางอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถแข่งขันได้ และอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการในตลาดโลกน้อยลง อาทิ Hard Disk Drive (HDD) รวมทั้งเข้าไปมีบทบาทในห่วงโซ่การผลิตสินค้าบางประเภทลดลง เช่น กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก ที่มีต้นน้ำสำคัญอย่างเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งไทยยังมีส่วนร่วมน้อย ท่ามกลางความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของโลก กรุงศรีขอแนะนำกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนผ่าน
กรุงศรีหุ้นไดนามิค (KFDYNAMIC)
กรุงศรีหุ้นไดนามิค
(KFDYNAMIC) มีจุดเด่น ดังนี้
- เน้นลงทุนในหุ้นประมาณ 15-20 บริษัท ซึ่งเป็นหุ้นมีปัจจัยพื้นฐานดีและมีแนวโน้มเติบโตสูง ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ สถาบันการเงิน บริษัทเอกชน หรือเงินฝากธนาคาร
- แนวทางการลงทุนมีความยืดหยุ่นสูง เพราะกองทุนสามารถลงทุนในหุ้นได้หลากหลายประเภท ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นหุ้นขนาดใหญ่หรือหุ้นปันผลเท่านั้น
- เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี และเน้นลงทุนระยะยาว
การส่งออก ถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญทางเศรษฐกิจของไทย ถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ท่ามกลางความผันผวนและไม่แน่นอนจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก
KRUNGSRI PRIME พร้อมยืนเคียงข้างคุณทุกย่างก้าวเพื่อคว้าโอกาสการลงทุนและให้โอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว สนใจขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในกองทุนรวมของเรา เพียงโทร. 02-296-5959 (จันทร์ - ศุกร์ 09.00 - 17.00 น.) หรือ
ฝากข้อมูลให้ติดต่อกลับ
ขอรับหนังสือชี้ชวน และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต