ส่งออกไทยฟื้น! ส่อง 5 อุตสาหกรรมที่นักลงทุนต้องจับตามอง

โดย สิรภัทร เกาฏีระ CFP® นักวางแผนการเงิน
25 มีนาคม 2568
ส่งออกไทยฟื้น! ส่อง 5 อุตสาหกรรมที่นักลงทุนต้องจับตามอง
การส่งออกของไทยกลับมาฟื้นตัวด้วยมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 10.5 ล้านล้านบาท ท่ามกลางความขัดแย้งด้านภูมิรัฐศาสตร์ และความผันผวนด้านอัตราแลกเปลี่ยน การส่งออกถือเป็นเครื่องยนต์ที่สำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทย กลุ่มอุตสาหกรรมไหนรุ่ง อุตสาหกรรมไหนร่วง ส่งผลดีต่อตลาดหุ้นไทยหรือไม่ บทความนี้จะพาไปหาคำตอบ

ย้อนกลับไป 20 ปีก่อนหน้านี้ การส่งออกถือเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญของเศรษฐกิจไทย โดยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ย 7% ต่อปี จะคิดเป็นสัดส่วนต่อการเติบโตของ GDP ประเทศถึง 80% ขณะที่ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา การส่งออกขยายตัวเพียง 1.2% และมีบทบาทต่อการเติบโตของ GDP ไม่ถึง 30% แต่ปีที่ผ่านมา ตัวเลขส่งออกขยายตัวถึง 5.4% มีมูลค่ากว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ การเติบโตนี้จะยั่งยืนหรือไม่ และมีกลุ่มสินค้าใดบ้างที่เป็นดาวรุ่ง
 

5 กลุ่มอุตสาหกรรมมาแรง

สำหรับสินค้า 5 อันดับแรกที่มีการส่งออกมากที่สุด ได้แก่
  1. รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ มูลค่า 1,090,478.65 ล้านบาท
  2. เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ มูลค่า 862,931.98 ล้านบาท
  3. อัญมณีและเครื่องประดับ มูลค่า 642,343.42 ล้านบาท
  4. ผลิตภัณฑ์ยาง มูลค่า 498,871.94 ล้านบาท
  5. เครื่องจักรกลและส่วนประกอบของเครื่องจักรกล มูลค่า 361,564.87 ล้านบาท

แม้ยอดขายรถยนต์ในประเทศจะถดถอยต่อเนื่อง แต่รถยนต์ยังเป็นสินค้าส่งออกอันดับ 1 ของไทย โดยมีการขยายตัวในตลาดฟิลิปปินส์, สหรัฐอเมริกา, เม็กซิโก, อินโดนีเซีย และเวียดนาม แต่หดตัวในตลาดออสเตรเลีย, มาเลเซีย, ญี่ปุ่น, ซาอุดีอาระเบีย และบราซิล ขณะที่คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบยังเติบโตได้ต่อเนื่อง ส่วนกลุ่มสินค้าเกษตรยังเติบโตได้ดี เช่น ยางพารา, ไก่สดแช่เย็น-แช่แข็ง, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป รวมถึงผลไม้

อย่างไรก็ตาม ถ้ามองแนวโน้มการเติบโต กลุ่มสินค้าที่หดตัวลง ได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ โดยเฉพาะเครื่องยนต์สันดาปภายใน รวมถึงน้ำมันสำเร็จรูป และสินค้าสำคัญอย่างข้าว และน้ำตาลทราย จะเห็นได้ว่าสินค้าที่หดตัวลงเป็นกลุ่มสินค้าที่ต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างให้สอดคล้องกับเทรนด์การเปลี่ยนแปลงของโลก ทั้งรถยนต์สันดาปแบบเดิม และน้ำมันสำเร็จรูป สะท้อนให้เห็นว่าไทยต้องเร่งปรับเปลี่ยนโครงสร้างของอุตสาหกรรมในประเทศไทยให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก
 
แนวโน้มส่งออกยังเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน
 
 

แนวโน้มส่งออกยังเติบโตท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้าน

สำหรับแนวโน้มการส่งออกของไทยยังมีแรงส่งให้เติบโตได้ต่อเนื่อง โดยคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) คาดการณ์ว่าการส่งออกของไทยจะขยายตัวได้ 1-3% ท่ามกลางปัจจัยเสี่ยงรอบด้านที่ต้องเฝ้าระวัง ได้แก่
  • สงครามการค้ารอบใหม่จากทรัมป์ 2.0
    • ความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลบวกและลบต่อเศรษฐกิจโลก รวมถึงไทย
    • มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่ดึงนักลงทุนกลับประเทศและมาตรการลดภาษีเงินได้นิติบุคคล อาจส่งผลให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ ร้อนแรงต่อเนื่อง
    • แนวทางการลด และยกเลิกความเข้มงวดของมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมทุกรูปแบบ
  • ปัญหาด้านภูมิรัฐศาสตร์ การอ้างสิทธิเหนือน่านน้ำ นำไปสู่การเผชิญหน้าทางทหารในทะเลจีนใต้ รวมทั้งสถานการณ์ในตะวันออกกลาง และรัสเซีย-ยูเครนที่ยังไม่ได้ข้อยุติ
  • ค่าเงินบาทที่ผันผวนต่อเนื่อง จากปัจจัยภายในประเทศ รวมถึงอัตราเงินเฟ้อและนโยบายการค้าของสหรัฐฯ
  • ต้นทุนของผู้ส่งออกเพิ่มขึ้นจาก
    • การปรับขึ้นค่าแรง ส่งผลต่อต้นทุนการผลิตสินค้าและการขนส่ง
    • ทิศทางราคาน้ำมันและต้นทุนด้านพลังงานในตลาดโลกยังมีความผันผวนต่อเนื่องจากความเสี่ยงหลายด้าน
  • สถานการณ์การขนส่งทางทะเล จากสถานการณ์ค่าระวางเรือมีการปรับตัวสูงขึ้น จากการเร่งส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ และปัญหาทะเลแดงที่ยังมีอิทธิพลต่อการส่งออกไปสหภาพยุโรปและตะวันออกกลาง

การส่งออกของไทยยังเผชิญกับความไม่แน่นอนจากนโยบายการค้าของประเทศมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ขณะเดียวกันยังมีปัญหาในเชิงโครงสร้างในบางอุตสาหกรรมที่ไม่สามารถแข่งขันได้ และอยู่ในอุตสาหกรรมที่มีความต้องการในตลาดโลกน้อยลง อาทิ Hard Disk Drive (HDD) รวมทั้งเข้าไปมีบทบาทในห่วงโซ่การผลิตสินค้าบางประเภทลดลง เช่น กลุ่มสินค้าอิเล็กทรอนิกส์โลก ที่มีต้นน้ำสำคัญอย่างเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งไทยยังมีส่วนร่วมน้อย ท่ามกลางความผันผวนและการเปลี่ยนแปลงของโลก กรุงศรีขอแนะนำกลยุทธ์การลงทุนเพื่อรับมือกับความผันผวนผ่าน กรุงศรีหุ้นไดนามิค (KFDYNAMIC)

กรุงศรีหุ้นไดนามิค (KFDYNAMIC) มีจุดเด่น ดังนี้
  • เน้นลงทุนในหุ้นประมาณ 15-20 บริษัท ซึ่งเป็นหุ้นมีปัจจัยพื้นฐานดีและมีแนวโน้มเติบโตสูง ส่วนที่เหลือจะลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ สถาบันการเงิน บริษัทเอกชน หรือเงินฝากธนาคาร
  • แนวทางการลงทุนมีความยืดหยุ่นสูง เพราะกองทุนสามารถลงทุนในหุ้นได้หลากหลายประเภท ไม่มีข้อจำกัดว่าต้องเป็นหุ้นขนาดใหญ่หรือหุ้นปันผลเท่านั้น
  • เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสิทธิประโยชน์ทางภาษี และเน้นลงทุนระยะยาว

การส่งออก ถือเป็นเครื่องยนต์สำคัญทางเศรษฐกิจของไทย ถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทาย ท่ามกลางความผันผวนและไม่แน่นอนจากสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในโลก KRUNGSRI PRIME พร้อมยืนเคียงข้างคุณทุกย่างก้าวเพื่อคว้าโอกาสการลงทุนและให้โอกาสรับผลตอบแทนในระยะยาว สนใจขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในกองทุนรวมของเรา เพียงโทร. 02-296-5959 (จันทร์ - ศุกร์ 09.00 - 17.00 น.) หรือฝากข้อมูลให้ติดต่อกลับ

ขอรับหนังสือชี้ชวน และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
สนใจร่วมเป็นลูกค้า ด้วยการเลือก KRUNGSRI PRIME ต่อยอดเงินให้เติบโต​
KRUNGSRI PRIME ช่วยพาคุณไปสู่เป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มความมั่งคั่งทางการเงิน และต่อยอดเงินล้านของคุณให้เติบโตสู่ล้านถัดๆไป นอกจากนี้ KRUNGSRI PRIME ยังมอบความพิเศษด้วยสิทธิ์ต่างๆทั้งด้านการเงินและไลฟ์สไตล์ที่ถูกคัดสรรมาให้แก่ลูกค้าคนพิเศษเช่นคุณ