Sustainable Living พลิกวิกฤตสู่ชีวิตที่ยั่งยืน

โดย สิรภัทร เกาฏีระ CFP® นักวางแผนการเงิน
22 พฤศจิกายน 2567
พลิกวิกฤตสู่ชีวิตที่ยั่งยืนด้วย Sustainable Living
สถานการณ์น้ำท่วมที่รุนแรงในรอบ 100 ปี ไม่ใช่เกิดขึ้นเฉพาะในประเทศไทย แต่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลก สะท้อนถึงวิกฤตสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติธรรมชาติที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น ส่งผลกระทบต่อชีวิตและทรัพย์สินอย่างมหาศาล กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทำให้ผู้คนหันมาใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน หรือ Sustainable Living มากขึ้น บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักแนวทางใช้ชีวิตตามเทรนด์ Sustainable Living ที่สามารถทำได้ในชีวิตประจำวัน และช่วยโลกได้มากขึ้น
 

โลกรวน ภัยพิบัติรุนแรงขึ้น เกิดบ่อยขึ้น

ในยุคโลกรวน ที่เกิดจากปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ส่งผลให้เกิดภัยพิบัติอย่างรุนแรง และมีความถี่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม พายุ และแผ่นดินไหว อย่างสถานการณ์น้ำท่วมเชียงใหม่ ประเทศไทย ในปี 2567 กล่าวได้ว่าหนักสุดในรอบ 100 ปี เช่นเดียวกับอุทกภัยที่เกิดขึ้นในมหานครนิวยอร์ก รวมถึงในยุโรป บราซิล และญี่ปุ่น ที่เกิดสถานการณ์น้ำท่วม ดินถล่มหนักสุดในรอบ 50 ปี

ผู้เชี่ยวชาญด้านอุตุนิยมวิทยา ได้ทำการศึกษาวิจัย พบว่าอุณหภูมิโลกที่เพิ่มสูงขึ้นเป็นสาเหตุทำให้ชั้นบรรยากาศกักเก็บความชื้นได้มากขึ้น ซึ่งหมายความว่าปริมาณน้ำฝนจะผันผวนมากขึ้น ภาวะแล้งหรือน้ำท่วมจะเกิดบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น ดังนั้นไม่ใช่แค่ความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาในระดับประเทศ แต่ทุกคนต้องช่วยกันรักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อมุ่งสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Living)
 

รู้จักแนวทางการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน

การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Living) หมายถึงวิถีชีวิตที่พยายามลดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติของโลก โดยบุคคลหรือสังคม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม อย่างการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ การเปลี่ยนแปลงการออกแบบบ้านและวิธีการขนส่ง การใช้พลังงาน และอาหาร การให้ความเคารพและพึ่งพากัน เพื่อสร้างสมดุลตามธรรมชาติ

สำหรับผู้บริโภคอย่างเรา ๆ สามารถช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้ เพียงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวัน ลองมาดู 7 วิธีในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนมากขึ้น
 
7 แนวทางการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน
   
  1. คิดให้ดีก่อนชอปปิง ผลิตภัณฑ์ชิ้นที่เราซื้อมีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่วัสดุที่ใช้ กระบวนการผลิต การขนส่ง บรรจุภัณฑ์ ดังนั้นก่อนซื้อควรถามตัวเองว่าต้องการจริง ๆ ไหม ถ้าจำเป็น ซื้อของมือสองมาใช้แทนได้หรือไม่
  2. เลิกใช้พลาสติก ในแต่ละปีมีพลาสติกอย่างน้อย 14 ล้านตันในมหาสมุทร คิดเป็น 80% ของขยะในทะเลทั้งหมด ส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศในทะเลอย่างมหาศาล เราสามารถลดการใช้พลาสติกได้ง่าย ๆ โดยการหันมาใช้ถุงผ้า เลิกใช้ขวดน้ำ ถุง และหลอดแบบใช้ครั้งเดียว เป็นต้น
  3. ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ อุตสาหกรรมการผลิตเนื้อสัตว์ เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด เช่น อุตสาหกรรมการเลี้ยงวัว เพราะวัว 1 ตัว สามารถผลิตก๊าซมีเทน ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจก ได้สูงถึง 70-120 กิโลกรัมต่อปี ดังนั้นการลดบริโภคเนื้อสัตว์จะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้มาก รวมถึงลดปริมาณขยะที่เกิดจากอาหารเหลือทิ้งได้อีกด้วย
  4. เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ออร์แกนิก ตั้งแต่ผลผลิตการเกษตรถึงเสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย การเลือกกระบวนการผลิตแบบออร์แกนิกจะช่วยลดผลกระทบต่อสัตว์ป่าและโลกได้ ยาฆ่าแมลงที่ปนเปื้อนในอากาศ น้ำ และดิน ถ้าหลีกเลี่ยงได้ จะส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อมและทุกชีวิตบนโลก
  5. เลิกใช้ฟาสต์แฟชั่นและสิ่งทอจากสัตว์ อุตสาหกรรมฟาสต์แฟชั่น เกิดและเติบโตเร็วมากในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา แต่รู้หรือไม่ว่าฟาสต์แฟชั่นทำให้เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นถึง 10% ขณะที่สิ่งทอจากสัตว์ ก่อให้เกิดมลพิษทางน้ำ หากต้องการซื้อเสื้อผ้าใหม่ควรเลือกใช้วัสดุที่ยั่งยืน
  6. ใช้น้ำอย่างชาญฉลาด การอนุรักษ์น้ำเป็นสิ่งสำคัญ จำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้น ทำให้ความต้องการใช้น้ำเพิ่มขึ้น แต่คุณสามารถประหยัดน้ำได้โดยใช้เวลาอาบน้ำให้สั้นลง ดูแลรอยรั่วต่าง ๆ ในระบบประปา เลือกใช้อุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดน้ำหรือใช้น้ำน้อยลง
  7. ลดการใช้รถยนต์ หรือเลือกพาหนะที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระบวนการขนส่งก่อให้เกิดมลพิษมากที่สุด ลองเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมการขับขี่ หากเดินทางระยะใกล้ลองหันมาใช้วิธีการเดิน ปั่นจักรยาน ถ้าหากเดินทางร่วมกันสามารถใช้รถสาธารณะได้ และที่สำคัญอย่าลืมตรวจสอบสภาพของรถยนต์ให้อยู่ในสภาพดี จะลดการใช้พลังงานลงได้

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมมุ่งสู่การใช้ชีวิตอย่างยั่งยืน (Sustainable Living) สามารถทำได้ง่าย ๆ ในชีวิตประจำวัน เป็นจุดเล็ก ๆ ที่จะเชื่อมต่อกับภาคส่วนอื่น ๆ ในการช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมให้โลก ลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจากภัยพิบัติ ช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างมีสติ ลดการเบียดเบียน สร้างสมดุลในการใช้ชีวิตอย่างยั่งยืนมากขึ้นและถ้าอยากมีส่วนร่วมสนับสนุน บริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยที่ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส่ มีบรรษัทภิบาลที่ดี สามารถลงทุนในกองทุน THAI ESG ซึ่งเป็นการลงทุนที่สร้างโอกาสการเติบโตอย่างยั่งยืน และมาพร้อมสิทธิประโยชน์ด้านภาษี ขอแนะนำ

กองทุนเปิดกรุงศรีเอ็นแฮนซ์เซ็ทไทยเพื่อความยั่งยืน-ไทยเพื่อความยั่งยืน (KFTHAIESG)
  • มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำที่เติบโตไปพร้อมกับดัชนี SETESG ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบผสมผสานระหว่าง Passive และ Active Management
  • พอร์ตการลงทุน 90% ลงทุนในหุ้นบริษัทชั้นนำ ที่มีความโดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม หรือความยั่งยืนตามหลัก ESG และอีก 10% จะใช้กลยุทธ์การลงทุนเชิงรุกเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่า
  • มีให้เลือกลงทุนได้ 2 แบบ คือ KFTHAIESGD มีนโยบายการจ่ายเงินปันผล และ KFTHAIESGA แบบสะสมมูลค่า

สำหรับ KRUNGSRI PRIME เรามีบริการให้คำแนะนำในด้านการลงทุน และการวางแผนลดหย่อนภาษี ช่วยคัดสรรกองทุนลดหย่อนภาษี ทั้งกองทุน Thai ESG และ กองทุน RMF เพื่อลดหย่อนภาษีได้สูงสุด สำหรับลูกค้า KRUNGSRI PRIME โดยเฉพาะ สามารถติดต่อได้ที่ช่องทางฮอตไลน์ 02-296-5959 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00-17.00 น. หรือฝากข้อมูลเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญด้านวางแผนภาษี ติดต่อกลับ

ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุน ก่อนตัดสินใจลงทุน
  • ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
  • กองทุน Thai ESG เป็นกองทุนที่ส่งเสริมการออมระยะยาว และสนับสนุนการลงทุนเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย ผู้ลงทุนจะไม่ได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษี หากไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการลงทุน
สนใจร่วมเป็นลูกค้า ด้วยการเลือก KRUNGSRI PRIME ต่อยอดเงินให้เติบโต​
KRUNGSRI PRIME ช่วยพาคุณไปสู่เป้าหมายทางการเงินได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มความมั่งคั่งทางการเงิน และต่อยอดเงินล้านของคุณให้เติบโตสู่ล้านถัดๆไป นอกจากนี้ KRUNGSRI PRIME ยังมอบความพิเศษด้วยสิทธิ์ต่างๆทั้งด้านการเงินและไลฟ์สไตล์ที่ถูกคัดสรรมาให้แก่ลูกค้าคนพิเศษเช่นคุณ