การกลับมาของทรัมป์ 2.0 สร้างความฮือฮาไม่น้อย โดยเฉพาะนโยบายด้านพลังงานที่สวนกระแสโลกอย่างมาก หลังรับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ สมัยที่ 2
โดนัลด์ ทรัมป์ สั่งเปลี่ยนนโยบายสิ่งแวดล้อมกลับมาเน้นก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเบนซิน รวมทั้งถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ที่เป็นกรอบความร่วมมือของสหประชาชาติ เพื่อลดอุณหภูมิโลกให้น้อยกว่า 2 องศาเซลเซียส จะกระทบทิศทางลงทุนพลังงานสะอาดของโลกอย่างไร มาติดตามได้ในบทความนี้เลย
จุดยืนทรัมป์ค้านนโยบายพลังงานสะอาด
แวดวงสิ่งแวดล้อมนับว่าได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงเมื่อในวันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาของ โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ลงนามในคำสั่ง Executive Order ที่สำคัญหลายฉบับ โดยเฉพาะนโยบายที่เกี่ยวข้องกับสิ่งแวดล้อม ดังนี้
- ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส ที่เป็นกรอบความร่วมมือของสหประชาชาติ เพื่อลดอุณหภูมิโลกให้น้อยกว่า 2 องศาเซลเซียส
- ยกเลิก ‘Electric Vehicle Mandate’ ของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ที่กำหนดให้ผู้ผลิตรถยนต์ลดการปล่อยมลพิษของรถยนต์ขนาดเล็กลงครึ่งหนึ่ง ตั้งแต่ปี 2027
- สหรัฐฯ จะเริ่มขุดเจาะก๊าซธรรมชาติและน้ำมันเบนซินเพิ่ม โดยยกเว้นข้อกฎหมายด้านสิ่งแวดล้อมหลายข้อที่จำกัดการขุดเจาะน้ำมัน และยังให้หน่วยงานของรัฐสนับสนุนการขุดเจาะอย่างจริงจัง (info)
นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้แสดงจุดยืนในการคัดค้านพลังงานหมุนเวียนอย่างหนักโดยกล่าวว่ามีความไม่น่าเชื่อถือและมีค่าใช้จ่ายสูง และโจมตีนโยบายของไบเดนอย่างรุนแรงว่าเป็นการ “ทำลายอุตสาหกรรม ทำลายงาน ส่งเสริมจีนและต่อต้านอเมริกา” และสัญญาจะยกเลิกกฎ หรือการสนับสนุนใด ๆ ในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด เช่น
- ทรัมป์วิจารณ์พลังงานลมและแสงอาทิตย์ว่ามีราคาแพงเกินไปเมื่อเทียบกับผลผลิตที่น้อยมาก โดยเฉพาะพลังงานลมเป็นตัวการทำลายสิ่งมีชีวิตในทะเล และสัญญาว่าจะหยุดพลังงานลมนอกชายฝั่งของอเมริกา
- ทรัมป์มองว่ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นอันตรายต่ออุตสาหกรรมรถยนต์ในประเทศ เขาสัญญาว่าจะยกเลิกนโยบายของโจ ไบเดน เพื่อปกป้องคนงานในอุตสาหกรรมรถยนต์และตลาดรถยนต์ดั้งเดิม
- รัฐบาลทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะยกเลิกมาตรฐานด้านประสิทธิภาพการใช้พลังงานสำหรับอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า โดยให้เหตุผลว่ามาตรฐานดังกล่าวเป็นการจำกัดทางเลือกของผู้บริโภค
เทรนด์เคลื่อนย้ายลงทุน ESG สู่ภูมิภาคเอเชีย
อย่างไรก็ตาม นโยบายคัดค้านพลังงานสะอาดของทรัมป์ อาจไม่ได้ส่งผลต่อการลงทุนในพลังงานสะอาดมากนัก เนื่องจากสมัยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้ออกกฎที่เรียกว่า ‘Inflation Reduction Act’ หรือ ‘IRA’ ซึ่งเป็นการลงทุนด้านพลังงานสะอาดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาเพื่อต่อสู้กับภาวะโลกรวน และหลายรัฐในอเมริกาได้รับการสนับสนุนทางการเงินโดยตรงจาก IRA รวมทั้งเทรนด์โลกที่ให้ความสำคัญกับปัญหาสภาวะโลกร้อน อาจทำให้เม็ดเงินลงทุนด้าน ESG ย้ายจากสหรัฐฯ สู่ภูมิภาคอื่น โดยเฉพาะเอเชีย
บทวิจัยของ
Morgan Stanley มองว่าจากนโยบายด้าน ESG ของทรัมป์ จะทำให้เม็ดเงินลงทุนกว่า 500,000 ล้านดอลลาร์ เคลื่อนย้ายออกจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะกองทุนรวมที่เน้นลงทุนด้านพลังงานสะอาดและความยั่งยืน ในขณะที่เอเชียกลับกลายเป็นดาวรุ่ง ด้วยเม็ดเงินลงทุน ESG ที่เพิ่มขึ้น และมีจีนเป็นผู้นำในภูมิภาคที่ประกาศทุ่มเงินมหาศาลในการลงทุนพลังงานหมุนเวียน พลังงานสะอาดและเทคโนโลยีสีเขียวหลากหลายรูปแบบเพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำพลังงานสะอาดของโลก
ท่ามกลางสงครามเทคโนโลยีสีเขียวที่ทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะจีนที่ขึ้นครองส่วนแบ่งการตลาดแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า (EV) กว่า 60% ของโลกทำให้บริษัทในสหรัฐอเมริกาและยุโรปต้องเร่งหาพันธมิตรใหม่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และไทยก็เป็นหนึ่งในทางเลือกของนักลงทุนที่กำลังก้าวขึ้นมาเป็นฐานการผลิตของ EV และเทคโนโลยีสีเขียวที่ยั่งยืนในภูมิภาคนี้
แนวโน้มธุรกิจพลังงานสะอาด แม้จะมีความไม่แน่นอนจากนโยบายที่เปลี่ยนแปลงไป แต่อย่างไรพลังงานสะอาดยังเป็นเมกะเทรนด์ของโลกที่ทุกประเทศต้องมุ่งไปรวมทั้งสหรัฐอเมริกาเองด้วย กรุงศรีขอแนะนำกองทุนเปิดกรุงศรียูเอสอิควิตี้อินเด็กซ์เฮดจ์เอฟเอ็กซ์-สะสมมูลค่า
(KFUSINDX-A) ที่มีจุดเด่นคือ
- ลงทุนตามดัชนี S&P 500 และสามารถกระจายความเสี่ยงได้มากกว่าการลงทุนในหุ้นรายตัว เพื่อโอกาสรับผลตอบแทนที่ใกล้เคียงดัชนี S&P 500
- กองทุนหลักเป็นกองทุนที่ได้รับความนิยม มีสภาพคล่องสูงบริหารโดยทีมผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ ของ BlackRock บริษัทจัดการกองทุนระดับโลก
- เงินลงทุนเริ่มต้นขั้นต่ำเพียง 500 บาท
แม้สหรัฐฯ จะปรับทิศทางสนับสนุนพลังงานสะอาด แต่จากเทรนด์ Climate Change ที่ทวีความรุนแรงขึ้น ทำให้ทุกประเทศยังคงให้ความสำคัญกับพลังงานสะอาดและมีโอกาสคว้าผลตอบแทนจากการลงทุน Krungsri Prime มีผู้เชี่ยวชาญพร้อมให้คำปรึกษาเพื่อคว้าโอกาสการลงทุนท่ามกลางสถานการณ์โลกที่ไม่แน่นอน สนใจโทร. 02-296-5959 (จันทร์ - ศุกร์ 09.00 - 17.00 น.) หรือ
ฝากข้อมูลให้ติดต่อกลับ
ขอรับหนังสือชี้ชวน และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยง ก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวมมิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต