สงคราม AI ปะทุ เมื่อ DeepSeek VS ChatGPT เกมนี้ใครจะชนะ?

การเปิดตัว DeepSeek เทคโนโลยี AI ของจีน สั่นคลอนบรรดาบริษัทบิ๊กเทคชั้นนำของอเมริกา ด้วยต้นทุนที่ถูกกว่า โดยใช้เงินลงทุนเพียง 5.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 190 ล้านบาท ในการพัฒนา ถือเป็นจุดเริ่มต้นของสงคราม AI ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน เพราะเพียงไม่กี่สัปดาห์หลังเปิดตัว DeepSeek มียอดดาวน์โหลดแซงหน้า ChatGPT เกมนี้ใครจะชนะ โอกาสลงทุนหุ้นเทคจะเป็นอย่างไรต่อไป บทความนี้จะพาไปหาคำตอบกัน
 

รู้จัก DeepSeek ผู้จุดชนวนสงคราม AI

DeepSeek เป็น AI ที่พัฒนาโดยสตาร์ทอัพสัญชาติจีน ก่อตั้งโดย Liang Wenfeng นักธุรกิจด้านการเงิน เจ้าของ High-Flyer บริษัท Hedge Fund ที่นำเทคโนโลยี Machine Learning มาปรับใช้ในการซื้อขายทางการเงิน ส่งผลให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยสามารถบริหารสินทรัพย์ได้มากกว่า 10,000 ล้านหยวน (ประมาณ 46,563 ล้านบาท) ในปี 2562 และกลายเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนา AI รุ่นใหม่ในเวลาต่อมา โครงการนี้ได้คัดเลือกบุคลากรระดับหัวกะทิจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของจีนกว่า 200 คน มาร่วมพัฒนา จนสามารถเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2567 ด้วยงบลงทุนเพียง 5.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งต่ำกว่าต้นทุนการพัฒนาโมเดล AI ในฝั่งอเมริกาหลายเท่า

ความโดดเด่นของ AI รุ่นนี้อยู่ที่ ความสามารถในการวิเคราะห์เชิงเหตุผลและแก้ปัญหาที่ซับซ้อน สามารถคิดเป็นขั้นเป็นตอนด้วยแนวทาง Chain of Thought คล้ายกับ GPT แต่มีประสิทธิภาพสูงกว่าในด้านการรองรับภาษาจีนและภาษาในภูมิภาคเอเชีย นอกจากนี้ยังใช้ Hybrid Architecture ทำให้มีความยืดหยุ่นและแม่นยำยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีต้นทุนต่ำกว่า ส่งผลให้สามารถให้บริการได้ในราคาที่เข้าถึงง่ายกว่า
   

เทียบฟอร์ม DeepSeek VS ChatGPT ใครเหนือกว่า

อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบระหว่าง ChatGPT กับ DeepSeek ทั้งสองมีความแตกต่างในหลายด้าน ดังนี้

1. การพัฒนาและเงินลงทุน
   ChatGPT:
   • พัฒนาโดย OpenAI ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากองค์กรและบริษัทขนาดใหญ่ เช่น Microsoft
   • เงินลงทุนตั้งแต่ 100-1,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ พัฒนาเทคโนโลยีประมวลผลขนาดใหญ่ขึ้น เช่น GPT-4 หรือ GPT-5
   DeepSeek:
   • เป็นสตาร์ทอัพจากจีนที่ก่อตั้งขึ้นในปี 2566 โดยแยกตัวจาก High-Flyer ซึ่งเป็นบริษัท Hedge Fund
   • มีทรัพยากรจำกัด แต่สามารถพัฒนาโมเดล AI ที่มีประสิทธิภาพสูงได้ด้วยงบประมาณที่น้อยกว่า เพียง 5.6 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
2. เทคโนโลยีและประสิทธิภาพ
   ChatGPT:
   • ใช้ชิป H100 ของ NVIDIA เป็นหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   • ใช้โมเดลภาษาขนาดใหญ่ (Large language model) ที่ได้รับการฝึกด้วยข้อมูลจำนวนมาก
   DeepSeek:
   • ใช้ชิป H800S ของ NVIDIA เป็นหน่วยประมวลผลกราฟิก (GPU)
   • ใช้สถาปัตยกรรม Mixture-of-Experts (MoE) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการประมวลผล
3. การเปิดเผยและการเข้าถึง
   ChatGPT: เป็นโมเดลที่พัฒนาโดยองค์กรเอกชนและไม่ได้เปิดเผยโค้ดทั้งหมด
   DeepSeek: เป็นโมเดลในรูปแบบโอเพนซอร์ส ทำให้นักพัฒนาสามารถเข้าถึงและปรับปรุงได้อย่างอิสระ
4. การใช้งาน
   ChatGPT: ใช้งานได้หลากหลาย ตั้งแต่การให้คำแนะนำทั่วไป ช่วยเขียนโค้ด ไปจนถึงช่วยเขียนเรื่องราว
   DeepSeek: มีความสามารถในการ ‘วิเคราะห์เชิงเหตุผล’ และ ‘แก้ปัญหาที่ซับซ้อน’ แก้โจทย์ยาก ๆ ได้อย่างเป็นขั้นเป็นตอน

 

ปลุกกระแสแข่งขันตลาด AI ระดับโลก

การเปิดตัว DeepSeek ถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สะท้อนถึงบทบาทของอุตสาหกรรม AI จีนในตลาดโลก และทำให้บริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ในสหรัฐฯ ไม่ว่าจะเป็น Meta, Microsoft และ Alphabet ต้องหันกลับมามองความคุ้มค่าในการลงทุน ขณะที่นักลงทุนหันกลับมาให้ความสนใจกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีในจีนมากขึ้น เมื่อ BYD ผู้นำยานยนต์ไฟฟ้าของจีน ได้ประกาศความร่วมมือกับ DeepSeek เพื่อพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไร้คนขับ

ด้านความเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ หลังเปิดตัว DeepSeek ไม่นาน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ของภาคเอกชน ที่ถือว่าเป็นโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐอเมริกา โดยใช้ชื่อว่าโปรเจกต์ ‘Stargate’ ใช้เงินลงทุนมหาศาลกว่า 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นการร่วมทุนระหว่าง OpenAI, Oracle และ SoftBank

ขณะที่ฝรั่งเศส ประธานาธิบดี เอ็มมานูเอล มาครง ได้ประกาศแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เช่นเดียวกัน โดยมีมูลค่ากว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยผลักดันให้ฝรั่งเศสเป็นศูนย์กลางการลงทุน AI ของยุโรป โดยมีกองทุนการลงทุนของอเมริกา แคนาดา และตะวันออกกลาง เข้ามาลงทุนด้าน AI อย่างต่อเนื่อง อาทิ Brookfield มีแผนลงทุน 20,000 ล้านยูโร เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐาน AI ในฝรั่งเศสภายใน 5 ปีข้างหน้า เป็นต้น

แม้กลุ่มหุ้นเทคสหรัฐฯ จะปรับตัวลงแรงหลังการเปิดตัวของ DeepSeek แต่การแข่งขันในอุตสาหกรรม AI จะส่งผลดีต่อหุ้นเทคโนโลยีในระยะยาว เช่นเดียวกับหุ้นเทคโนโลยีของจีนก็ปรับตัวขึ้นเช่นเดียวกัน โดยธนาคารกรุงศรีอยุธยาขอแนะนำ

กองทุนเปิดกรุงศรีเวิลด์เทคอิควิตี้เฮดจ์เอฟเอ็กซ์ (KFHTECH-A) มีจุดเด่น ดังนี้

• ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำขนาดใหญ่ โอกาสแห่งการลงทุนท่ามกลางความก้าวหน้าทางนวัตกรรมและเทคโนโลยี ซึ่งก้าวเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม
• ใช้การวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานและขับเคลื่อนจากการวิเคราะห์ในเชิงลึก เพื่อค้นหาโอกาสการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ที่เป็นหุ้นเทคโนโลยียุคใหม่ เช่น AI, Cloud Computing เป็นต้น รวมถึงการค้นหาบริษัทใหม่ ๆ ที่มีโอกาสก้าวขึ้นมาแทนที่ผู้เล่นรายเดิม เพื่อคว้าโอกาสลงทุน
• อยู่ภายใต้การบริหารจัดการของ BlackRock, Inc บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนที่ใหญ่ที่สุด

อนาคต AI ยังคงทวีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ทั่วโลกกำลังเร่งแข่งขันเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI เป็นโอกาสลงทุนหุ้นเทคโนโลยี KRUNSGRI PRIME พร้อมให้คำปรึกษาการลงทุนเพื่อช่วงชิงโอกาสจากเมกะเทรนด์ที่เป็นอนาคตของโลก สนใจขอรับคำปรึกษาจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนในกองทุนรวมของเรา เพียงโทร. 02-296-5959 (จันทร์ - ศุกร์ 09.00 - 17.00 น.) หรือฝากข้อมูลให้ติดต่อกลับ

ขอรับหนังสือชี้ชวน และสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน

• ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
• กองทุน KFHTECH-A ป้องกันความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนทั้งจำนวน ซึ่งอาจมีต้นทุนสำหรับการทำธุรกรรมป้องกันความเสี่ยงดังกล่าว โดยทำให้ผลตอบแทนของกองทุนโดยรวมลดลงเล็กน้อยจากต้นทุนที่เพิ่มขึ้น
• กองทุน KFHTECH-A ลงทุนกระจุกตัวในหมวดอุตสาหกรรม จึงมีความเสี่ยงที่ผู้ลงทุนอาจสูญเสียเงินลงทุนจำนวนมาก ผู้ลงทุนควรขอคำแนะนำเพิ่มเติมก่อนทำการลงทุน