มีนักลงทุนหลายคนที่พยายามค้นหาเทคนิคการลงทุน เคล็ดลับการเก็งกำไร และสูตรลับความสำเร็จต่าง ๆ เพื่อผลลัพธ์การลงทุนที่สร้างผลตอบแทนให้อย่างน่าพอใจ ยิ่งสูตรเด็ดเคล็ดลับมีความซับซ้อนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งชอบ และเชื่อว่าจะนำไปสู่เส้นทางการลงทุนที่สวยงาม โดยที่มองข้ามเรื่องง่าย ๆ อย่างการติดตามข่าวสาร และการหมั่นสังเกตเหตุการณ์รอบตัวไป ทำให้สุดท้ายหลายคนต้องพบกับความล้มเหลว เพราะองค์ประกอบของความสำเร็จที่ขาดหายไป คือ หัวใจหลักการเป็น
นักลงทุน ที่เราได้นำมาฝากให้กับทุกท่านในบทความนี้ เพราะเมื่อเราเข้าใจเราจะสามารถสู้ได้ทุกสนามการลงทุน
ความสำเร็จของการลงทุนคืออะไร ปลายทางที่นักลงทุนทุกคนใฝ่ฝัน
นิยามความสำเร็จของแต่ละคนจะเป็นอย่างไร เชื่อเหลือเกินว่าสุดท้ายปลายทางความฝันของทุกคน คือ ผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจ ซึ่งระหว่างการเดินทางไปสู่เป้าหมายการลงทุนนี้เอง ที่เป็นปัจจัยสำคัญว่าเราจะหลงทางหรือไม่ ทำให้หลายคนเริ่มมองหาเคล็ดลับและสูตรสำเร็จในการลงทุน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายโดยเร็วที่สุด และต้องยอมรับว่า บางคนไปได้อย่างสวยงาม และบางคนหลงทางไปไม่ถึงเป้าหมาย เมื่อเป็นเช่นนี้เราลองมาดูภาพรวมของความสำเร็จในโลกการลงทุนกันว่า ควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร เพื่อให้ทุกคนได้นำภาพรวมทั้งหมดนี้ ไปย่อยเป็นเส้นทางเฉพาะของตัวเอง
ในโลกของการลงทุน มี
สินทรัพย์มากมายให้เลือก เช่น หุ้น, กองทุน, อสังหาริมทรัพย์ และสินทรัพย์โภคภัณฑ์ เป็นต้น แต่ถ้าถามว่าตลาดไหนที่มีความเร้าใจ ได้รับความนิยม และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้สูงที่สุด ก็ต้องตอบว่า “หุ้น” เพราะผลตอบแทนของหุ้นสามารถเอาชนะเงินเฟ้อได้ และถ้าหากการคาดการณ์และการวางแผนลงทุนไม่มีอะไรผิดพลาด โอกาสที่จะได้กำไรเป็นกอบเป็นกำจากหุ้นมีอยู่สูงมากทีเดียว โดยนักลงทุนสามารถได้รับผลกำไรจากหุ้นได้ 2 ทาง คือ เงินปันผล และกำไรจากส่วนต่างราคาซื้อ-ขายหุ้น ทั้งหมดนี้คือข้อดีของการเทรดหุ้น
และมีเพียงนักเทรดหุ้นตัวจริงเท่านั้นที่ทราบดีว่า ข้อดีของหุ้นที่กล่าวมานี้ยังไม่ใช่ความสำเร็จที่แท้จริง เพราะต้องบอกว่าในใจลึก ๆ ของนักเทรดทุกคน เมื่อเข้าซื้อหุ้นใดก็ตาม ต่างมีความต้องการและอยากให้หุ้นที่ซื้อวิ่งไปสู่ขาขึ้นทันที แม้จะรู้ดีว่า “โอกาส” ที่จะเป็นเช่นนั้นไม่สามารถคาดเดาได้เลยว่าจะเกิดขึ้นไหม แต่ก็ยังคงเข้าซื้อหุ้นด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของบริษัทที่ตัวเองมั่นใจ จึงเรียกว่า ประสบความสำเร็จในขั้นแรก ที่สามารถเอาชนะความกลัวบนความไม่แน่นอนของหุ้นได้ และเมื่อมีความเชื่อมั่น ก็ใช้ความรู้ความสามารถเพื่อสร้างผลตอบแทน ภายใต้การวางแผนที่มีความรอบคอบ นับว่าเป็นความสำเร็จอีกหนึ่งขั้น ที่ใช้สติเอาชนะความผันผวนของหุ้นได้
สุดท้ายคือ ความพยายามในการพยุงพอร์ตของตัวเองให้มีการเติบโตอย่างมั่นคง ซึ่งนักเทรดหุ้นจะทราบดีว่า การจัดพอร์ต และการ
กระจายความเสี่ยงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่เพื่อปกป้องเงินทุนของตัวเอง จึงต้องใช้ความรู้ที่มีทั้งหมด เสริมด้วยการใช้เทคนิคและเครื่องมือต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการพอร์ตให้มีความเสี่ยงน้อยที่สุด
จึงสรุปภาพรวมของการลงทุนได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นหุ้น กองทุน หรือสินทรัพย์ใด ๆ ความสำเร็จ ไม่ใช่ผลกำไรมหาศาล เพราะกำไรคือผลที่เกิดจากความสามารถในการปกป้องรักษาเงินทุน การ
บริหารจัดการพอร์ต และกระจายความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงนำมาซึ่งผลตอบแทนที่จะมากหรือน้อย ต้องขึ้นอยู่กับเทคนิค ความช่างสังเกต และความรู้รอบตัวของแต่ละคน
หัวใจหลัก 5 ข้อ ที่จะเปลี่ยนนักลงทุนทั่วไป ให้กลายเป็นมืออาชีพ
ทราบหรือไม่ว่า เราทุกคนสามารถมีอาชีพนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จได้ เพียงมีความเชื่อมั่น และรู้จักสร้างความมีวินัยให้เป็นนิสัย บวกกับความใฝ่รู้ที่ไม่หยุดยั้ง จะสามารถสร้างสไตล์การลงทุนที่เป็นแนวทางเฉพาะของตัวเอง โอกาสในการประสบความสำเร็จจะเพิ่มสูงขึ้น และเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจว่า ความสำเร็จนี้จะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืน ต้องเพิ่มหัวใจหลักแห่งการลงทุนเข้าไปด้วย นั่นคือ
1. ต่อสู้กับความโลภ และเอาชนะความกลัว
เราจะเห็นทั้งความโลภและความกลัวได้อย่างชัดเจนในตลาดหุ้น เพราะความผันผวนที่เปิดโอกาสให้เข้าทำกำไร หลายคนจึงนิยมการเก็งกำไรระยะสั้น แต่การฉวยทำกำไรเพียงเล็กน้อยกลับสร้างความไม่พอใจให้กับนักเทรดบางคน ด้วยความรู้สึกที่ว่า น่าจะรอไปอีกสักหน่อยเพื่อให้ได้ผลกำไรที่มากขึ้น เกิดเป็นความโลภโดยที่ไม่รู้ตัว ในขณะเดียวกันเราพบว่า มีนักเทรดอีกหนึ่งกลุ่ม ที่นิยมการขายหุ้นอย่างรวดเร็ว ไม่ใช่เพราะความเร้าใจในการเก็งกำไรระยะสั้น แต่เป็นความกลัวที่จะถือหุ้นต่อไป จึงทำให้ตัดสินใจขายหุ้นทันที
การฝึกเป็นนักลงทุนมืออาชีพ จึงจำเป็นต้องกำจัดทั้งความโลภและความกลัวให้หมดไปก่อน ด้วยการทำความเข้าใจตลาดว่า การเปลี่ยนแปลงจะอ้างอิงจากปัจจัยทางเศรษฐกิจเป็นหลัก เมื่อเราเข้าใจความเคลื่อนไหวของตลาดว่า มีกลไกเป็นไปตามธรรมชาติ จะช่วยให้เราสามารถวิเคราะห์เทรนด์ของตลาดได้ว่า จะมีแนวโน้มไปในทิศทางใด ความโลภและความกลัว จะถูกปรับเปลี่ยนใหม่เป็นจังหวะการลงทุนที่มีความเหมาะสมลงตัว
2. ปรับความคิดใหม่ให้แตกต่าง
นักลงทุนมืออาชีพจะไม่มีความคิดเพียงด้านเดียว ที่เปรียบดังตาบอดคลำช้าง โดยปักใจเชื่อว่า สิ่งนั้นเป็นเช่นนั้นจริง ๆ เช่น เมื่อหุ้นมีการปรับตัวลดลง นักลงทุนกลุ่มแรกจะเชื่อว่า เป็นโอกาสอันดีที่จะได้เข้าซื้อในราคาถูก ส่วนนักลงทุนกลุ่มที่สองจะเชื่อว่า หุ้นที่ปรับตัวลดลงคือหุ้นที่ไม่ดี โดยนักลงทุนทั้ง 2 กลุ่มไม่ได้วิเคราะห์ถึงปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ หรือไม่ได้ศึกษารายละเอียดของบริษัทว่าจะมีนโยบายอย่างไรต่อไป แต่กลับตัดสินสถานการณ์ไปแล้วเพียงแค่หุ้นปรับตัวลดลง เป็นต้น ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่นักลงทุนทั้ง 2 กลุ่มจะได้พบทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว โดยที่หาเหตุผลไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร
อาชีพนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ จะต้องฝึกให้มีความคิดที่หลากหลาย ไม่ปล่อยให้กระแสนิยมส่วนใหญ่มีอิทธิพลเหนือความคิดของตัวเอง และจะต้องคิดว่า การเข้าไปลงทุนในสินทรัพย์ใด ๆ คือการทำธุรกิจที่มีเป้าหมายเป็นผลกำไร และลงมือศึกษาธุรกิจนั้นอย่างละเอียด รวมไปถึงการมองหาช่องทางกระจายความเสี่ยงอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา มีการวางแผนอย่างรอบคอบ และดำเนินการตามแผนอย่างเคร่งครัด ไม่ลงทุนตามกระแสข่าวลืออย่างเด็ดขาด หากไม่ได้วิเคราะห์ข่าวด้วยตัวเอง
3. ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
การลงทุนเป็นเรื่องส่วนบุคคลที่แต่ละคนมีสิทธิจะเลือกสินทรัพย์ไม่เหมือนกัน ทำให้เทคนิคของแต่ละคนจึงมีความแตกต่างกันออกไปด้วย แต่สิ่งที่นักลงทุนที่ต้องการความสำเร็จควรมีเหมือนกัน คือ “ความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง” หมายถึง นักลงทุนต้องมีสมาธิจดจ่ออยู่กับการวางแผนลงทุนอย่างเป็นขั้นตอน จากนั้นก็ต้องดำเนินการตามแผนที่สร้างไว้ โดยที่ไม่ออกนอกลู่นอกทางไปจากแผน ไม่ปล่อยให้ความโลภ ความโกรธ และความกลัว เข้าครอบงำเมื่ออยู่ในสนามการลงทุน รวมไปถึงไม่ยอมให้คนอื่นมาเปลี่ยนความคิดให้แตกต่างไปจากแผนที่วางเอาไว้
ความซื่อสัตย์ต่อตัวเองนี้ จะช่วยให้นักลงทุนสามารถมองเห็นถึงจุดอ่อนและจุดแข็งในการลงทุนได้ และนำมาปรับแก้ไขให้แผนการลงทุนให้มีความสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น แต่ถ้าเล่นนอกแผน จะไม่มีทางรู้ได้เลยว่า แผนที่วางไว้มีจุดอ่อนอยู่ที่จุดใด และจุดไหนคือจุดแข็งที่ควรรักษาไว้
4. มีวินัยต่อตัวเอง
เป็นเรื่องที่พูดกันอยู่ทั่วไปในทฤษฎีพื้นฐานการลงทุนที่ดี แต่เรื่องที่พูดกันทั่วไปนี้กลายเป็นเรื่องยากที่จะปฏิบัติตาม เรื่องวินัยนี้แทบจะเรียกได้ว่า หาได้ยากในนักลงทุนทั่วไป แต่จะพบได้มากในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ความมีวินัยสามารถฝึกฝนให้เกิดขึ้นได้ ด้วยการหมั่นทำสิ่งนั้นบ่อย ๆ จนกลายเป็นนิสัย เช่น หมั่นติดตามข่าวสาร, หมั่นฝึกการวางแผน, หมั่นศึกษาหาความรู้จากแหล่งต่าง ๆ, หมั่นค้นหาเทคนิคใหม่ ๆ ที่เหมาะกับตัวเอง และหมั่นบริหารจัดการเงินให้เป็นสัดส่วน เป็นต้น
เมื่อเรามีวินัยเป็นนิสัย นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการลงทุนสูงแล้ว ในชีวิตประจำวันเรายังสามารถดำเนินธุรกิจ หรือทำกิจการงานต่าง ๆ ได้อย่างเป็นขั้นตอน และมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จได้สูงเช่นกัน
5. ฝึกสมาธิเพื่อใช้ควบคุมอารมณ์
สมาธิมีประโยชน์อย่างมากสำหรับนักลงทุน เนื่องจากในตลาดหุ้นเราจะพบว่า มีจำนวนไม่น้อยที่ลงทุนตามอารมณ์ ไม่ว่าจะเป็นโกรธมากเกินไป ทำให้ลงทุนด้วยความไม่รอบคอบเพราะต้องการเงินทุนคืน หรือดีใจมากเกินไป ทำให้ไม่รู้จักพอเมื่อได้กำไรตามแผน ทุกคนที่ควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เมื่อถึงปลายทางจึงพบกับความล้มเหลว
การฝึกสมาธิในมีความแน่วแน่เมื่ออยู่ในสนามการลงทุน จะช่วยให้การดำเนินการทุกอย่างถูกควบคุมโดยแผนการที่วางเอาไว้ ไม่มีเรื่องของอารมณ์เข้ามาข้องเกี่ยว ไม่ว่าจะกำไรหรือขาดทุน ทุกอย่างล้วนมีอยู่ในแผนทั้งหมด เมื่อเราโฟกัสอยู่กับแผนจะช่วยให้เราไม่รู้สึกว่าเสียอะไรไปเมื่อต้องขาดทุน และไม่รู้สึกว่าได้อะไรมาเมื่อมีกำไร ขอเพียงให้เงินทุนเรายังคงอยู่ถือว่าประสบความสำเร็จแล้ว
นักลงทุนที่ดี ควรเลือกรูปแบบการลงทุนให้เหมาะสมกับตัวเอง
มาถึงคำถามว่าควร
ลงทุนอะไรดี จึงจะประสบความสำเร็จ? เราจะขอยกตัวอย่างให้ทุกท่านได้เห็นภาพง่าย ๆ เพื่อการตัดสินใจด้วยตัวเอง อันดับแรกคุณจะเห็นได้ว่า การลงทุนในหุ้นให้ผลตอบแทนสูง แต่ก็มีความเสี่ยงสูงด้วยเช่นกัน และการคัดเลือกหุ้นรายตัวจะต้องใช้ทั้งประสบการณ์ ความชำนาญ และความรู้รอบตัวเป็นอย่างมาก เพื่อให้ได้หุ้นของบริษัทที่ดี และมีความมั่นคง
ซึ่งถ้าคุณตอบว่า ทุกอย่างสามารถทำตามได้สบายมาก สภาพคล่องทางการเงินก็มี อีกทั้งยังรับความเสี่ยงสูง ๆ ได้ เราแนะนำให้ลงทุนในหุ้นตามแบบที่ต้องการได้เลย แต่ถ้ายังติดข้อจำกัด ไม่ว่าข้อใดข้อหนึ่ง ขอให้เลือกลงทุนกับ
“กองทุนรวม” แทน ด้วยเหตุผลที่น่าสนใจดังนี้
1. มีผู้จัดการกองทุน ที่ดูแลทุกอย่างให้เรา
ผู้จัดการกองทุน คือ ผู้ที่จะช่วยดูแลให้การลงทุนของเราทำได้ง่ายขึ้น เพราะการจะเป็นผู้จัดการกองทุนไม่ได้เป็นกันง่าย ๆ จะต้องผ่านการสอบเพื่อให้ได้คุณวุฒิที่แสดงถึงความสามารถว่า มีความรู้ด้านการวิเคราะห์การลงทุนอย่างแท้จริง อย่างการสอบ CISA (Certified Investment & Securities Anlyst) หรือ CFA (Chartered Financial Analyst) นักลงทุนจึงมั่นใจได้ว่า ทุกการเคลื่อนไหวภายในกองทุนล้วนผ่านการวิเคราะห์และออกแบบมาจากผู้จัดการกองทุนแล้ว
2. ไม่ต้องกังวลเรื่องการเลือกหุ้นที่ดีที่สุด
หากคุณยังไม่มีความชำนาญมากพอที่จะเลือกหุ้นที่ดีที่สุดได้ การลงทุนกองทุนรวมจะสามารถช่วยได้ในเรื่องนี้ เช่น หากต้องการลงทุนในดัชนี SET50 หรือ SET100 ก็ไม่ต้องไปตามไล่ซื้อหุ้นทุกตัว เพียงแค่เลือกกองทุนรวมที่มีนโยบายลงทุนในดัชนี SET50 หรือ SET100 ก็เท่ากับว่าได้ลงทุนกับหุ้นที่มีขนาดใหญ่ พื้นฐานดี และมีสภาพคล่องในการซื้อขายแล้ว เป็นต้น
3. ลงทุนกับตลาดทั่วโลกได้
เป็นข้อได้เปรียบของกองทุนรวม ที่ช่วยให้นักลงทุนสามารถลงทุนกับสินทรัพย์ได้ทั่วโลก เพียงแค่เลือกกองทุนที่มีนโยบายลงทุนตรงกับความต้องการ ไม่ว่าจะเป็นหุ้นต่างประเทศ, พันธบัตรรัฐบาล, ทองคำ, ตราสารหนี้, อสังหาริมทรัพย์, หุ้นไทย และสินทรัพย์กลุ่มพลังงาน สามารถเข้าถึงได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่แผนการลงทุนและแผนการกระจายความเสี่ยงของคุณเอง
ความสำเร็จของนักลงทุนแต่ละคนมีนิยามที่แตกต่างกัน แต่มีจุดหมายปลายทางที่เหมือนกัน ดังนั้นไม่ว่าจะลงทุนกับสินทรัพย์ได้ ขอให้มีหัวใจของการเป็นนักลงทุนร่วมด้วย จะช่วยให้แผนการลงทุนประสบความสำเร็จสมดั่งใจ และถ้าหากคุณต้องการที่ปรึกษามืออาชีพ ธนาคารกรุงศรีอยุธยาช่วยคุณได้ ด้วยผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน การลงทุน ให้คุณสามารถติดต่อขอรับคำแนะนำผ่านช่องทางฮอตไลน์ได้ที่ 02-296-5959 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 9.00 น. - 17.00 น. หรือ
ฝากข้อมูล เพื่อให้ที่ปรึกษาทางด้านการเงินจาก KRUNGSRI PRIME ติดต่อกลับก็ได้เช่นกัน
ผู้ลงทุนควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน และความเสี่ยงก่อนตัดสินใจลงทุน
- ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต