3 กรกฎาคม 2567
กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และบริษัทในเครือ) ร่วมกับ BlackRock บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุนชั้นนำของโลก อัปเดตมุมมองเศรษฐกิจและเทรนด์การลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 ในงานสัมมนา Mid-Year Investment Outlook 2024: Seizing Opportunities in a Shifting World จัดขึ้นสำหรับลูกค้ากรุงศรี ไพรเวท แบงก์กิ้ง และ กรุงศรี เอ็กซ์คลูซีฟ โดยสรุปว่าสถานการณ์การลงทุนทั่วโลกในช่วงครึ่งปีหลังยังคงผันผวนต่อเนื่องจากความเสี่ยงของอัตราเงินเฟ้อ และความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศ อย่างไรก็ตามคาดว่า FED จะยังลดอัตราดอกเบี้ย 1-2 ครั้งภายในปีนี้ ทั้งนี้ มองว่าการลงทุนธีม AI ยังคงน่าสนใจและมีโอกาสในการเข้าไปลงทุนเพิ่มเติม ขณะที่ตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รับอานิสงส์การเร่งเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐและการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว พร้อมแนะหุ้นเด่นที่น่าลงทุน ได้แก่ กลุ่มส่งออกค้าปลีก-เฮลธ์แคร์-ธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับ Data Center
งานสัมมนาครั้งนี้ ได้รับเกียรติจากผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนของกรุงศรีกรุ๊ป รวมถึงผู้บริหารระดับสูงจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และพันธมิตรระดับโลก BlackRock มาร่วมเผยมุมมองเศรษฐกิจโลก พร้อมแบ่งปันกลยุทธ์ด้านการลงทุนในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 โดยเริ่มจาก ดร. ศรพล ตุลยะเสถียร รองผู้จัดการ หัวหน้าสายงานวางแผนกลยุทธ์องค์กรและโครงการกลยุทธ์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่มาเล่าถึงภาพรวมสถานการณ์เศรษฐกิจ และทิศทางตลาดหุ้นไทยในช่วงครึ่งปีหลัง โดยสรุปว่า ท่ามกลางความท้าทายของเศรษฐกิจโลก ประเทศไทยมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจสูงสามารถรองรับเหตุการณ์ต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมาได้ดี สำหรับภาพรวมเศรษฐกิจในปีที่ผ่านมา อาจมีปัจจัยในการขับเคลื่อนไม่มาก อย่างไรก็ตามคาดว่าเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งปีหลังนี้ สืบเนื่องจากฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การส่งออก และการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนกลับมาที่ตลาดหุ้นไทย โดยมองว่าสถานการณ์ปัจจุบันการลงทุนตลาดหุ้นไทยยังคงเป็นโอกาสที่น่าสนใจ เนื่องจากราคาหุ้นยังไม่สะท้อนต่อกำไรในอนาคต
ทั้งนี้ ดร.ศรพล ได้แนะนำ 7 ธีมการลงทุนดาวเด่นที่เป็นจุดแข็งของตลาดหุ้นไทย ได้แก่
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการท่องเที่ยว โดย SET Well-Being Index ปัจจุบันมีทั้งหมด 30 บริษัท จาก 7 อุตสาหกรรม ได้แก่ การท่องเที่ยวและสันทนาการ การเกษตร ขนส่งและโลจิสติกส์ แฟชั่น การแพทย์ อาหารและเครื่องดื่ม และพาณิชย์
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายของภาครัฐ อาทิ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง สินค้าอุปโภคบริโภค การพาณิชย์ และอาหารเครื่องดื่ม
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนย้ายฐานการผลิต ซึ่งภาครัฐมีนโยบายต่างๆ ออกมา ทั้ง Free VISA รวมถึงนโยบายส่งเสริมการลงทุน ซึ่งภาคธุรกิจที่จะได้รับปัจจัยบวก ได้แก่ เครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ เครื่องจักรและยานยนต์ อุตสาหกรรมโลหะและวัสดุ อุตสาหกรรมดิจิทัล การเกษตร และอาหาร
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับภาคการส่งออก ทั้งนี้ จะเห็นว่าผลตอบแทนของ SET Global Big Cap และ SET Global Mid & Small Cap ค่อนข้าง Outperform ราว 50-60% ส่วน SET Global Large Cap ผลตอบแทน Outperform ตลาด ราว 10%
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน แม้ช่วงนี้ตลาดหุ้นไทยยังไม่ฟื้นตัวมากในลักษณะ K-Shape แต่หุ้นไทยที่อยู่ในดัชนี Dow Jones Sustainability Indices (DJSI) ถือว่าปรับตัวดี
- ธุรกิจที่มีการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ ในตลาด SETHD มีมากกว่า 30 บริษัทขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องสูง จ่ายปันผลต่อเนื่องอย่างน้อย 3 ปีติดต่อกัน ซึ่งหากนักลงทุนเลือกพอร์ตหุ้นที่เหมาะสม พอร์ตการลงทุนก็จะ Outperform ได้
- ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับ New Economy ซึ่งมีบริษัทจดทะเบียนถึง 165 บริษัท ที่อยู่ใน Sector ใหม่ๆ อาทิ ดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซ ธุรกิจด้านสุขภาพ เชื้อเพลิงชีวภาพ อุตสาหกรรมอาหารและการแปรรูปผลิตผลทางการเกษตรเพื่อการบริโภคที่ใช้นวัตกรรม และยานยนต์สมัยใหม่
นอกจากนี้ ยังมีการพูดคุยถึงประเด็นเรื่องการลงทุนในสินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืน โดยในปีนี้ จำนวนหุ้นที่อยู่ในกลุ่ม Thai ESG จะเพิ่มมากขึ้นจากปีที่ผ่านมา ทำให้นักลงทุนมีโอกาสและตัวเลือกเพิ่มขึ้น และหากเปรียบเทียบบริษัทจดทะเบียนในเวทีโลกแล้วจะพบว่า มีบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยจำนวนมากเติบโตอย่างแข็งแกร่งและเป็นที่ยอมรับในเวทีโลก ติดอันดับดัชนีความยั่งยืนระดับโลก
จับตาเอฟเฟกต์ Macro Risk พร้อมปรับพอร์ตบาลานซ์ความเสี่ยง
ด้าน Mr. Jonathan Reoch, Managing Director of BlackRock ได้สะท้อนมุมมองภาพรวมเศรษฐกิจโลกและโอกาสการลงทุนครึ่งหลังของปีนี้ไว้ 3 ด้านดังนี้
- ความเสี่ยงจากภาพรวมเศรษฐกิจโลก (Macro Risk) จะมีมากขึ้น แม้ว่าหลายคนมองว่า FED จะมีการลดดอกเบี้ย 1-2 ครั้งภายในปีนี้ แต่ก็ยังคงอยู่ในระดับที่สูงเมื่อเทียบกับอดีต ประกอบกับเงินเฟ้อที่ลงช้า และปัญหาความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้น ส่งผลให้บริบทของการลงทุนเปลี่ยนไป
- ด้วยสภาวะที่ผันผวนอย่างต่อเนื่อง จึงต้องหันมาสร้างสมดุลในพอร์ตให้มากขึ้น เน้นกระจายการลงทุนแบบ Dynamic มีความยืดหยุ่นเพื่อรับมือความผันผวน และมีลงทุนแบบ Selective ที่เน้นผลตอบแทนที่สูงกว่าตลาดโดยรวม
- ยังคงให้ความสนใจกับ Mega Trend ต่างๆ อาทิ AI เทคโนโลยี การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรพร้อมปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เหมาะกับเทรนด์ดังกล่าว
ทั้งนี้ Mr. Reoch ได้แนะนำกองทุนที่น่าสนใจท่ามกลางความผันผวนทั่วโลก นั่นคือ Global Unconstrained Equity หรือ KFGLOBAL ที่ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบ Unconstrained Approach เน้นลงทุนในบริษัทจากหลากหลายอุตสาหกรรมที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง เติบโตได้อย่างมั่นคงในระยะยาว คัดเลือกหุ้นรายตัวโดยพิจารณาจากปัจจัยพื้นฐาน ไม่ยึดติดกับประเภทหุ้น อุตสาหกรรม หรือดัชนีชี้วัด เพื่อโอกาสที่ดีที่สุดทั้งช่วงเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง โดยมีผลการดำเนินงานย้อนหลังตั้งแต่จัดตั้งกองทุน (ต่อปี) อยู่ที่ 14%
กรุงศรี แนะ 5 ธีมการลงทุน ท่ามกลางความผันผวน
ท่ามกลางสถานการณ์ทางเศรษฐกิจโลกที่ยังคงผันผวนต่อเนื่อง นายวิรัตน์ วิทยศรีธาดา, CFA ผู้บริหารฝ่ายกลยุทธ์และที่ปรึกษาการลงทุน และหัวหน้าทีม Krungsri Investment Intelligence ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) ได้สรุปมุมมองการลงทุนของกรุงศรีผ่าน 5 ธีมหลัก พร้อมแนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ตอบโจทย์ในแต่ละสถานการณ์ของตลาด ดังนี้
ธีมที่ 1 หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐฯ ยังคงทรงตัวในระดับสูง (Higher for Longer) ทำให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่กองทุน Money Market มากเป็นประวัติการณ์ แนะนำการลงทุนในกองทุนรวมตราสารหนี้ KFSMART สำหรับนักลงทุนที่รับความเสี่ยงได้น้อย หรือเลือกลงทุนในในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ อาทิ BGF US Dollar Reserve Fund A2 USD ที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่า 5% เงินฝากประจำ FCD ที่ให้ดอกเบี้ยสูงถึง 5.1% ต่อปี หุ้นกู้อนุพันธ์แฝง Bullish Sharkfin Note, Twinwin Note และ Offshore Fixed Income
ธีมที่ 2 มองว่า FED มีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในช่วง 1-3 ปี ข้างหน้า และคาดว่าจะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 1-2 ครั้งในปีนี้ เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าว แนะนำการ
ลงทุนใน PIMCO GIS Income Fund หรือ KF-CSINCOM ที่กระจายการลงทุนตราสารหนี้ทั่วโลกและมีผลการดำเนินงานที่ดีสม่ำเสมอ
ธีมที่ 3 ในกลุ่มของ Global Equity มองว่าหุ้นกลุ่ม Defensive น่าจะให้ผลตอบแทนดีกว่าตลาด หากเศรษฐกิจชะลอตัวในช่วงครึ่งปีหลัง แนะนำ BlackRock World Technology Fund A2 USD หรือ KFHTECH ที่ลงทุนในหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ที่มีผลการดำเนินงานและอัตราการเติบโตสูงกว่าตลาดหุ้นโดยรวม ขณะเดียวกันตลาดหุ้นเวียดนาม ซึ่งมีการเติบโตสูงและมีโอกาสได้รับการยกระดับเป็น Emerging Markets ดังนั้นกระจายการลงทุนไปในตลาดเวียดนามผ่านกองทุนที่น่าสนใจ อาทิ Principal VNEQ เป็นโอกาสในการสร้างผลตอบแทนที่ดีกว่า
ธีมที่ 4 ลงทุนในกองทุน Private Equity เพื่อช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงพอร์ต เนื่องจากมีความผันผวนค่อนข้างต่ำ โดยแนะนำกองทุน KFGPE-UI บริหารจัดการโดย Schroders ที่มุ่งกระจายการลงทุนในหลายวัฏจักรธุรกิจของบริษัท
ธีมที่ 5 ลงทุนในกองทุน Private Credit อีกหนึ่งทางเลือกที่ช่วยเพิ่มผลตอบแทนและลดความเสี่ยงของพอร์ต โดยแนะนำกองทุน KFPCD-UI ที่บริหารจัดการโดย BlackRock
หุ้นเทคฯ-AI ยังได้ไปต่อ
ด้านนายเกียรติศักดิ์ ปรีชาอนุสรณ์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนทางเลือก บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด เผยภาพรวมตลาดหุ้นโลกยังคงมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี โดยหากพิจารณาในรายภูมิภาคจะพบว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มีความโดดเด่นเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ซึ่งคาดการณ์ว่าหากนายโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งในปลายปี 2567 นี้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐมีโอกาสแข็งค่าขึ้นจากนโยบายด้านการค้า ยิ่งส่งผลให้ตลาดมีโอกาสและความน่าสนใจ ขณะที่ตลาดหุ้นทางฝั่งยุโรปยังมีความน่าสนใจจากปัจจัยเรื่องนโยบายการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและราคาหุ้นยังคงมีราคาถูก ส่วนตลาดญี่ปุ่น สถานการณ์ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงจะเป็นตัวขับเคลื่อนภาพรวมของหุ้นญี่ปุ่น อย่างไรก็ตาม หากค่าเงินเยนยังคงอ่อนค่าต่อเนื่องจะส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นและความกังวลของนักลงทุน ขณะที่ตลาด Emerging Markets ภาพในปีนี้ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งอาจจะต้องรอจังหวะที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่าลงจะเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนการเติบโตของตลาด
นอกจากนี้ นายเกียรติศักดิ์ ยังได้ให้มุมมองเกี่ยวกับหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีว่า หุ้น Big Tech 5 ตัวแรก ได้แก่ MSFT, NVDA, AMZN, GOOGL และ META ได้รับการปรับประมาณการกำไรต่อหุ้น (EPS) เพิ่มขึ้นกว่า 38% สวนทางกับหุ้นอื่นๆ ที่ถูกปรับลงที่ -5% ท่ามกลางกระแสการเติบโตอย่างต่อเนื่องของเทรนด์ AI ซึ่งมองว่าจะเริ่มมีการขยับไปที่อุตสาหกรรมกลางน้ำและปลายน้ำมากขึ้น เช่น Cybersecurity หรือ Software และได้แนะนำกองทุน KFHTECH ที่บริหารจัดการโดย BlackRock สร้างพอร์ตแบบ Core & Opportunistic Holding คือ ลงทุนกลุ่ม Core 40-50% ขณะที่ลงทุนในกลุ่ม Opportunistic 50-60% ด้วยน้ำหนักที่น้อย แต่จะกระจายการลงทุนในหุ้นจำนวนมาก ให้ผลตอบแทนในระยะกลาง-ยาวที่ดีกว่า ผันผวนน้อยกว่า และผลตอบแทนสม่ำเสมอ และกองทุน KFGTECH ที่บริหารจัดการโดย T. Rowe Price ที่มีสไตล์การลงทุนแบบ Highly Active เปลี่ยนแปลงทุก 6 เดือน ซึ่งมีโอกาสทำกำไรได้มากกว่าในช่วงที่ตลาดขาขึ้น
หุ้นไทยมีลุ้นฟื้นตัว เตรียมลงทุนหุ้นเด่น ‘ส่งออก-ค้าปลีก-Data Center-เฮลธ์แคร์’
ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ได้สรุปมุมมองที่มีต่อตลาดหุ้นไทยไว้ว่า แม้ปัจจุบันตลาดหุ้นไทยจะปรับตัวลง แต่เศรษฐกิจมีสัญญาณฟื้นตัว ทั้งสัญญาณการบริโภคของภาคครัวเรือนไทยที่ขยายตัวดีขึ้น ขณะที่ภาคการท่องเที่ยวค่อยๆ ฟื้นตัว จากตัวเลขของวิจัยกรุงศรีคาดการณ์ว่าปริมาณนักท่องเที่ยวต่างชาติจะเข้ามาในประเทศไทยอยู่ที่ 35.5-36 ล้านคนในปีนี้ โดยในช่วงครึ่งปีแรกมีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาแล้ว 17.5 ล้านราย จึงเริ่มเห็นสัญญาณที่ดีขึ้น นอกจากนี้ ด้วยมาตรการขยายระยะเวลา Free VISA จะเป็นปัจจัยที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจช่วงครึ่งปีหลังกระเตื้องขึ้น ประกอบกับการเบิกจ่ายงบประมาณประจำปี 2024 ของภาครัฐเริ่มมีแนวโน้มเร่งขึ้น ถือเป็นสัญญาณบวกต่อตลาดการลงทุน โจทย์สำคัญคือ รัฐบาลจะต้องมีเสถียรภาพระดับหนึ่ง จึงต้องจับตาสถานการณ์การเมือง ซึ่งหากสถานการณ์การเมืองในประเทศมีปัจจัยเสี่ยงลดลง รัฐบาลมีเสถียรภาพจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยอยู่ที่ 1,320-1,400 จุด แต่หากปัจจัยการเมืองในประเทศมีความผันผวนคาดว่าตลาดหุ้นไทยมีแนวโน้มจะลงไปแตะที่ฐาน 1,250-1,320 จุด
ทั้งนี้แนะนำหุ้นที่ควรมีติดไว้ในพอร์ตสำหรับช่วงครึ่งปีหลังนี้คือ กลุ่มอุตสาหกรรมส่งออก เช่น ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ Data Center และกระแสของ 5G ธุรกิจค้าปลีก และเฮลธ์แคร์ แนะนำหุ้น Top Pick ในกลุ่มหุ้นขนาดใหญ่ ได้แก่ True, MINT, GFPT, TU, KCE, HANA, WHA, CPALL, OSP, MTC
สำหรับผู้ที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถรับชมย้อนหลังได้ผ่านช่องทาง YouTube: Krungsri Simple หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับ KRUNGSRI PRIVATE BANKING หรือ KRUNGSRI EXCLUSIVE โทร 02-296-5566 LINE: @KrungsriExclusive